วันพฤหัสบดีที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทำไม เฮือนสุนทรี เวชานนท์ จึงอยู่ยั้งยืนยาว ...

จำได้ว่ามาเหนือทีไร ใครๆ จะต้องมาทานอาหารร้าน "สุนทรี เวชานนท์" "A Celebration of Life" คำถามคือ ทำไม เพราะเพียงท่านเป็นศิลปินมีชื่อเท่านั้นหรือ???  ...  ไม่เลยครับ .... ผมตีความว่ามีปัจจัยอย่างน้อย ๓ ประการ ที่ทำให้ร้านอาหารแห่งนี้ อยู่ได้ยั่งยืนยาว มาถึงปัจจุบัน



๑) อาหารดี (มีปลาช่อนไร้ก้าง เป็นต้น)

ไม่ได้ถ่ายภาพมาแชร์นะครับ  แต่ขอบอกว่า  เมนูปลาช่อนไร้ก้าง อร่อยดีครับ  เด็ก ๓ ขวบ ๖ ขวบ ก็กินได้เพราะไร้ก้างสมชื่อ ผู้ใหญ่ก็กินดีเพราะมีน้ำจิ้มประกอบรสฉู่ฉ่า หรือแม้แต่วัยชราก็ถูกใจเพราะมีผักรสขมเสริฟเคียงมาด้วย  

แน่นอนว่า ปัจจัยนี้คือคีสำคัญที่สุด แต่คงไม่ใช่เฉพาะร้านนี้ที่มีอาหารอร่อย เพราะมาเชียงใหม่รอบนี้ ไปลองทานมา ๓-๔ ร้าน รสชาดอาการหลังลิ้มชิมนั้น ดุเดือดไม่แพ้กันครับ



๒) งามวัฒนธรรม

สังเกตว่าคนเชียงใหม่ภูมิใจในรากเหง้าความเป็นมาของวัฒนธรรมล้านนายิ่ง ตามแหล่งรับประทานอาหาร ร้านโรงแรม แต่งแต้มห้อยแขวน ประดับประดา สัมผัสได้ถึงศรัทธาและภูมิปัญญาล้านนาไทย  มีโคมยี่เป็งหลากหลายชนิดติดร้อยห้องตามเพดาน (ความรู้เกี่ยวกับโคมยี่เป็ง) มีป้ายผ้าภาษาล้านนา ฯลฯ

ผมนึกถึงจังหวัดมหาสารคาม นึกไม่ออกว่ามีร้านอาหารใดที่ประดับไว้ให้เห้นความภูมิใจในวัฒนธรรมอีสานแบบนี้หรือไม่ ... ส่วนใหญ่อยู่ในวัดและจัดทำนุในลักษณะของงานประเพณีเท่านั้น



๓) ชื่อเสียงและเสียงเพลง

ไม่มีใครไม่รู้จักจรัญ มโนเพชร​  เช่นเดียวกัน​  คนอายุสี่สิบขึ้น​ คงไม่มีใครไม่รู้จั​กสุนทรี​  เวชานนท์​ ดังในจึงไม่ผิดหวังที่มาที่ร้านแล้วได้เสพเสียง​อันสุนทรีจากต้นตำหรับ...


วันอังคารที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ปางช้างแม่สา เชียงใหม่ ธันวาคม 2560

วันที่ 19 ธันวาคม 2560 มีโอกาสมาเที่ยวปางช้างแม่สากับครอบครัว ป้างช้างแม่สาตั้งขึ้นประมาณปี 2519 ตรงกับปีที่ผมเกิดพอดี ผู้ก่อตั้งชื่อคุณชูชาติ เริ่มต้นจากการเช่าพื้นที่ประมาณ 12 เอเคอร์หรือ 30 ไร่ จากกองอนุรักษณ์พันธุ์สัตว์ป่า และเช่าช้างจากชาวกะเหรี่ยงมา 4-5 เชือก เริ่มแสดงให้นักท่องเที่ยวซึ่งตอนนั้นมีประมาณ 5-10 คนต่อวัน ได้ชมการแสดงลากซุง ปัจจุบัน ปางช้างแม่สา พี่ช้างถึง 79 เชือก แต่ละชุดจะมี ความช้างประจำประจำเชือก การแสดงมีหลากหลายมาก ตั้งแต่เป่าแคนลากซุง เตะฟุตบอล วาดภาพ เก็บของ และที่สนุกที่สุด คือ ตอนที่ให้อาหารช้าง  

เล่าด้วยภาพท่าจะดีกว่าครับ 










เห็นอะไรจากภาพสุดท้ายครับ ....

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

จับประเด็น : ในหลวงรัชกาลที่ ๙ เป็นพระโพธิสัตว์ที่จะมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ ๑๐ นับจากนี้

คลิปธรรมะบรรยายเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของพระอาจารย์กฤช นิมฺมโล แห่งสวนธรรมประสานสุข อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี  (สนใจผลงานท่านคลิกที่นี่ โดยเฉพาะหนังสือเสียงเรื่อง "คำสอนพ่อ" ที่นี่) ท่านเล่าเรื่องในหลวงรัชกาลที่ ๙ กับคำสอนของหลวงปู่พ่อแม่ครูอาจารย์ต่างๆ ที่บอกว่า ในหลวงคือพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระโพธิญาณในกาลต่อไป .... น่าสนใจมากและประทับใจผมยิ่ง จึงอยากนำมาแบ่งปันครับ


พระอาจารย์กฤช ท่านเล่าว่าตนเองเป็นทิฐิจริต เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรมด้วยการ "ดูจิต" ท่านปฏิธรรมแบบ "สมถะ" เพราะอยากได้อภิญญาอยู่ ๑๙ ปี ไม่มีผลบรรลุธรรมวิเศษใด จนท่านปรงใจว่าชาตินี้คงได้เพียงเร่งสร้างบารมี จนกระทั่งได้มาเรียนกับ "ครูบาอาจารย์" (เป็นคำที่ท่านเรียกหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช) จึงได้เห็นว่า การปฏิบัติธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิให้สงบดิ่งนิ่งอัปปานาได้อภิญญาก่อน มีอีกทางหนึ่งสำหรับคนฟุ้งซ่านฐานคิด คิดเยอะ ...  ผมเป็นจริตแบบท่าน เมื่อไหร่ได้ฟังธรรมะท่าน จึงได้ประโยชน์จากประสบการณ์ของท่านยิ่ง 

ตั้งแต่นาทีที่ประมาณ ๖๐ กว่า เป็นต้นไป หลังจากที่ท่านเล่าถึงทศพิธราชธรรมโดยนำเอาแบบอย่างที่ทรงทำ เลือกนำมาเล่าได้อย่างดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟัง   วันนี้สิ่งที่อยากให้ท่านรู้ที่สุดคือเรื่องที่ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์องค์ที่ ๑๐ ที่จะมาตรัสรู้

๑ กัปป์ คืออะไร นานแค่ไหน?

  • กัปป์ คือ รอบแห่งการเกิดดับของจักรวาล จักรวาลเกิดและดับหนึ่งรอบเรียกว่า ๑ กัปป์ กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ องค์เรียกว่า "สาระกัปป์"  ส่วนกัปป์ปัจจุบันนี้ ชื่ออ"ภัทรกัปป์" จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๕ พระองค์  พระพุทธเจ้าองค์นี้เป็นองค์ที่ ๔ มีพระนามว่าโคตม องค์ถัดไปคือพระอริยเมตไตรย 
  • ไม่ใช่ทุกกัปป์ที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ กัปป์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเลยเรียกว่า "สุญกัปป์" กัปป์ที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเรียกว่า "อสุญกัปป์"
  • อุปมัยว่า เปรียบเหมือนมีภูเขาหินแท่งทึบกว้างยาวสูงด้านละ ๑ โยชน์ (๑๖ กิโลเมตร) เวลา ๑ กัปป์นานกว่าเวลาที่ภูเขานี้เหี้ยนเตียนสิ้นไปด้วยการเอาผ้ามาลูบ ๑๐๐ ปีต่อหนึ่งครั้ง (อ่านต่อที่นี่)
ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์

พระอาจารย์กฤช เล่าเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเล่าของพ่อแม่ครูอาจารย์ (คำคุณศัพท์เรียนกหลวงปู่หรือหลวงตาที่ผู้พูดเชื่อว่าท่านได้บรรลุแล้วซึ่งธรรมวิเศษ)  ผมจับประเด็นได้ว่า

  • หลวงปู่ฤาษีลิงดำ เคยเล่าว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเราเป็นพระโพธิสัตว์ที่ได้รับคำทำนายไว้แล้วว่าจะกลับมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง  เป็นพระโพธิสัตว์ประเภทวิรยาธิกะ เน้นเด่นเรื่องความเพียร
  • พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท ได้แก่ ๑) ปัญญาธิกะ ๒) วิริยาธิกะ และ ๓)ศรัทธาธิกะ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เป็นประเภทปัญญาธิกะ
  • หลวงปู่ฤาษีลิงดำ เล่าว่า ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะบำเพ็ญ ๑๖ อสงไขย (๑๐ ยกกำลัง ๑๔๐ ปี อ่านที่นี่) กับ ๑๐๐,๐๐๐ กัปป์ ตอนนี้บำเพ็ญครบ ๑๖ อสงไขยแล้ว เหลือเพียงส่วนกัปป์ ... เศษเหลือมากน้อยเท่าไหร่ไม่ได้เล่าไว้ 
  • หลวงปู่สิม พุทธาจาโร เล่าว่า ในสมัยพุทธกาล ในหลวง ร.๙ เกิดเป็นช้างป่าลิไลยกะที่คอยดูแลพระพุทธเจ้า (หากยังไม่รู้ดูคลิปนี้ครับ)
  • พระพุทธเจ้าได้ให้คำพยากรณ์ว่า ช้างป่าเลไลยิกะจะมาตรัสรู้เป็นองค์ที่ ๑๐ นับจากนี้ ในภัทรกัปป์นี้จะมีพระอาริยเมตไตรยมาตรัสรู้  อสุญกัปป์ถัดไปจะมี ๒ พระองค์ อสุญกัปป์ถัดไปมี ๑ พระองค์ อสุญกัปป์ถัดไปอีก ๒ พระองค์ อสุญกัปป์ถัดไปอีก ๒ พระองค์ และอสุญกัปป์ถัดไปอีก ๒ พระองค์  ในกัปป์นี้เองที่ในหลวง ร.๙ จะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระนามว่า "สุมังคละ" 
  • ใครที่ตั้งปณิธานว่า "จะขอเป็นทาสรองบาททุกชาติไป" ต้องใจถึง เพราะต้องตามเสด็จไปอีก ๕ กัปป์ เป็นอย่างน้อย และต้องเป็นผู้มีวิริยะมากตามพระองค์ซึ่งเป็นวิรยาธิกะ 
ผมติดสติกเกอร์ไว้เตือนใจตนเองเช่นกันว่าจะขอเป็นข้ารองบาท แต่ด้วยรู้ว่าใจตนเองนั้นเป็น "ทิฐิจริต" คิดมาก วิริยาน้อย จึงไม่ปรารถนาจะเป็นข้ารองบาททุกชาติไป และไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ ... เกิดชาติใดขอให้ได้พบคำสอนที่เหมาะสมกับตน และเป็นหนึ่งที่เข้าถึงซึ่งพระนิพานเมื่อเวลาที่สมควร...สาธุ