วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2562

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราช เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

บันทึกนี้ขออ้างอิงไปยัง คัมภีร์อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาคเวรัญชกัณฑ์ (คลิกที่นี่)

พระโมคคลีบุตรติสสะเถระ (พระอรหันต์ผู้ฟื้นฟูพุทธศานา)
  • หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานผ่านไปแล้ว ๓ เดือน พระมหากัสสปะเถระได้นำคณะสงฆ์ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ สิ้นกิเลส ทำการสังคยานาพระไตรปิฎก นับเป็นครั้งที่ ๑ 
  • ผ่านไป ๑๐๐ ปี พระยสกกัณฑกบุตร ได้ยินว่า พระภิกษุแห่งเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี อันมีพระเจ้ากาฬาโศก บุตรของพระเจ้าสุสูนาค ปกครองอยู่ ได้แสดงวัตถุ ๑๐ ประการ (ประกาศข้อวัตรในพระวินัย ๑๐ ประการ) จึงเกิดแรงบันดาลใจ เกิดกำลังใจว่า ที่ตนคิดว่าพระพุทธศาสนาได้เสื่อมหมดแล้วนั้น ไม่เป็นความจริง และเปลี่ยนใจจากตอนแรกจะปลีกวิเวก (ขวนขวายน้อย) กลับมารวบรวมพระอริยะ จำนวน ๗๐๐ รูป โดยคัดเลือกจากภิกษุผู้มาาร่วมชุมชนแสดงวัตถุ ๑๐ ประการเหล่านั้นจำนวนหนึ่งล้านสองแสนรูป เพื่อทำการสังคายนาพระไตรปิฎก นับเป็นครั้งที่ ๒ 
  • หลังจากการสังคายนาครั้งที่ ๒ นี้แล้ว เหล่าภิกษุได้พยากรณ์ว่า ศาสนาพุทธจะเสื่อมลงอีก มีเสนียดใหญ่เป็นเสี้ยนหนามต่อพระพุทธศาสนาอีก เพราะต่อแต่นี้ไปอีก ๑๑๘ ปี  จะมีพระราชาพระนามว่าพระธรรมาโศกทรงอุบัติขึ้นในนครปาฏลีบุตร ครอบครองราชสมบัติในชมพูทวีปทั้งสิ้น และจะทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา แล้วจะให้ลาภและสักการะเป็นอันมาก ทำให้พวกเดียรถีย์ที่ปรารถนาลาภสักการะจะบวชแล้วแสดงทิฏฐิของตน 
  • และดำริว่า ใครล่ะที่จะสามารถระงับอธิกรณ์นั้นได้ จึงตรวจดูมนุษยโลกและเทวโลก พบเห็นว่ามีแต่ท้าวมหาพรหมชื่อติสสะเท่านั้นที่จะทำได้  จึงได้ไปเชิญให้ลงมาปฏิสนธิในเรือนของโมคคลีพราหมณ์ 
  • หลังจากพระติสสะมหาพรหมได้ลงมาเกิดดังนั้นแล้ว พระสิคควเถระซึ่งจำได้และรู้ว่าท้าวมหาพรหมติสสะ มาเกิดในเรือนโมคคลีพราหมณ์นี้ ได้มาบิณฑบาตรในเรือนนั้นตลอด ๗ ปี แต่ก็ไม่เคยจะได้ข้าวสักทัพพีเดียว ไม่ได้ยินแต่คำพูดใดเลย 
  • วันหนึ่งพราหมณ์เดินกลับมาจากทำธุระ สวนกับพระสิคควเถระ ได้ถามว่า "ท่านได้ไปบิณฑบาตรบ้านกระผมไหม" ท่านตอบว่า ได้ไป "ท่านได้อะไรไหม" พราหมณ์ถาม  ท่านตอบว่า "ได้พราหมณ์" เมื่อเดินมาถึงบ้าน จึงมาถามชนในเรือนว่า มีใครได้ให้อะไรกับบรรพชิตนั้นไปหรือ  คนในเรือนตอบว่า ไม่ได้ให้อะไรไป 
  • วันถัดมา พราหมณ์มานั่งรอพระเถระที่หน้าบ้าน ตั้งใจจะประจารการกล่าวเท็จของท่านเมื่อวาน  เมื่อท่านมาถึงจึงถามว่า เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้อะไรในเรือนกระผมเลยแต่บอกว่าได้ การกล่าวเท็จแบบนั้นควรแก่บรรพชิตหรือ ?  พระเถระจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาบิณฑบาตรในเรือนของท่านทุกวันตลอด ๗ ไม่มีแม้แต่คำพูดใดเลย แต่เมื่อวานนี้ ได้ยินคำพูดว่า "นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด เจ้าข้า"  ข้าพเจ้าจึงบอกว่าได้โดยหมายเอาการปฏิสันฐานนั้น พราหมณ์เกิดความเลื่อมใสขึ้น 
  • ตั้งแต่นั้นมา เมื่อได้เห็นพระอาริยวัตร สงบเสงี่ยม พราหมณ์ก็ค่อยเลื่อมใส่ในพระเถระมากขึ้น ๆ จนนิมนต์ให้พระเถระมาในเรือนเป็นประจำ จนกระทั่งติิสสะมาณพอายุได้ ๑๖ ปี 
  • เมื่อติสสะมาณพอายุได้ ๑๖ ปี ก็เรียนจบคัมภีร์ไตรเภท เวลาจะไปนั่งที่ใด ๆ คนรับใช้ก็จะเอาผ้าขาวมารองไว้  ทุกวันก็จะไปเรียนกับอาจารย์พราหมณ์แล้วกลับมานั่งที่บัลลังก์นั้น โดยไม่เคยพูดกล่าวกับพระสิคควเถระเลย  
  • พระสิคควเถระได้พิจารณาว่า ถึงเวลาแล้วที่ติสสะมาณพสมควรจะออกบวชในพระพุทธศาสนา จึงออกอุบายร่ายมนต์ทำให้คนรับใช้ไม่มองไม่เห็นที่นั่งบัลลังก์ใด นอกจากที่นั่งของติสสะมาณพนั้นตอนที่ท่านเดินทางไปถึง คนในเรือนจึงได้เชิญให้พระเถระนั่งลงตรงบัลลังก์ของติสสะมาณพ 
  • เมื่อติสสะมาณพมาเห็นก็รู้สึกโกรธมาก เสียใจ หลังจากพระเถระทำภัตกิจเสร็จแล้ว สังเกตว่าติสสะมาณพหายโมโหแล้ว จึงถามว่า ท่านไปเรียนรู้มนต์อะไรบ้าง ด้วยความมั่นใจที่จบไตรเภทแล้วจึงตอบว่า เวลานี้ถ้าผมไม่รู้คงไม่มีใครรู้มนต์ แล้วย้อนถามพระเถระว่า ท่านรู้มนต์หรือ?  เข้าทางพระเถระ จึงพูดว่า จงถามเถิดมาณพ ข้าพเจ้าอาจจะรู้บ้าง 
  • ไม่ว่าติสสะมาณพจะถามอะไร พระเถระก็ตอบได้หมด เพราะท่านเองก็จบไตรเภทมาก่อน  เมื่อเปิดโอกาสให้ถามพอแล้ว พระเถระจึงว่า คราวนี้ขอเราถามปัญหาเธอสักข้อ แล้วถามว่า "จิตบุคคลใดเกิดขึ้นอยู่ ไม่ดับ จิตของบุคคลนั้นจักดับ ไม่เกิดขึ้น ก็อีกอย่างหนึ่ง จิตของบุคคลใดจักดับ ไม่เกิดขึ้น จิตของบุคคลนั้นเกิดขึ้นอยู่ ไม่ดับ " ติสสะมาณพตอบไม่ได้ จึงถามว่า ท่านบอกมนต์เหล่านี้แก่ข้าพเจ้าได้หรือไม่  พระเถระจึงบอกว่าได้ แต่ต้องบวตเป็นสามเณรก่อน  ติสสะมาณพจึงไปขออนุญาตพ่อแม่ แล้วจึงบวชเป็นสามเณรแต่นั้นมา 
  • ไม่นานพระติสสะได้สำเร็จพระโสดาบัน  พระสิคควเถระเกรงว่า ถ้าสอนอีกพระติสสะจะบรรลุพระอรหันต์แล้วอาจปลีกวิเวกขวนขวายน้อย ไม่ไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา จึงได้ส่งท่านไปเรียนต่อกับพระจัณฑวัชชีเถระ 
  • เมื่อสามเณรติสสะมาอยู่ในสำนักของพระจัณฑวัชชีเถระก็เที่ยวเรียนมนต์ต่าง ๆ จนแตกฉานในพุทธพจน์ทั้งหมด เว้นแต่พระวินัยที่เกี่ยวกับพระสงฆ์ และเมื่อบวชแล้วไม่ถึงหนึ่งพรรษาก็ได้เป็นติปิฎกธรหรือผู้ทรงพระไตรปิฎก บรรลุเป็นพระอรหันต์ในเวลาไม่นาน และบอกสอนพุทธพจน์แก่พระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก 
พระเจ้าอโศกมหาราช
  • หลังจากที่พระเจ้าอโศกมายึดราชสมบัติของพระเจ้าพินทุสาร และฆ่าพี่น้องทั้งหมด ๑๐๑ พระองค์ เหลือไว้แต่ ติสสะกุมาร พี่ร่วมท้องมารดาเดียวกันเท่านั้น  (คนละคนกับพระโมคคลีบุตรติสสะเถระ) แล้วครองราชย์อยู่ถึง ๔ ปี โดยไม่ได้ราชาอภิเษก ในปีที่ ๒๑๘ หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน จึงได้อภิเษกเป็นเอกราชในชมพูทวีป  
  • ในระหว่างที่กวาดล้างพี่น้องที่อาจเป็นปฏิปักษ์นั้น พระเจ้าอโศกได้จับพระสุมนราชกุมาร (พี่ชายของพระเจ้าพิทุสาร)ไว้ได้ พระเทวีชื่อสุมนาของพระสุมนราชกุมารซึ่งท้องแก่ใกล้คลอดได้ปลอมเพศหนี มุ่งไปยังหมู่บ้านจัณฑาล ถึงใกล้หมู่บ้านจัณฑาลนั้น รุกขเทวดาประจำต้นนิโครธได้เนรมิตรศาลาขึ้นแล้วเรียกให้เข้าไปพัก นิโครธกุมารก็ได้กำเนินขึ้น ณ ที่นั่น พระเทวีจึงเรียกนามว่า นิโครธกุมาร" ตามชื่อของต้นไม้นั้น และได้รับการเลี้ยงดูจากคนจัณฑาลที่เห็นพระเทวีเหมือนดังเทพธิดามาตั้งแต่นั้น  เมื่อนิโครธกุมารอายุได้ ๗ ปี พระเถระองค์หนึ่งชื่อ พระมหาวรุณเถระ พิจารณาทราบเรื่องโดยตลอดและเห็นว่าที่นิโครธได้เวลาบวช จึงไปทูลขอพระราชธิดา ในเวลาปลงผมเสร็จนั้นเอง พระกุมารก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ 
  • พระเจ้าอโศกมหาราช มีศรัทธาบำรุงพราหมณ์เหมือนกับพระราชบิดา (พระเจ้าพินทุสาร) วันหนึ่งได้ทรงบอกให้จัดทำอาสนะทั้งสูงต่ำไว้ในพระราชวัง แล้วบอกให้ทหารไปนิมนต์นักบวช ชีวก ตาปะขาว พราหมณ์ สำนักต่าง ๆ ให้นำ "พระอรหันต์" ในสำนักของตน ๆ ทรงเสด็จมาพบเห็นบางพวกนั่งบนตั่งภัทรบิฐ บางพวกนั่งบนตั่งแผ่นกระดาน หาสาระภายในไม่ได้เลย ทรงถวายของควรบริโภคแล้วก็กลับไป  ไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาใด ๆ
  • วันหนึ่งพระเจ้าอโศกมหาราช ออกมาเดินระเบียง มองเห็นสามเณรนิโครธ ีมีกริยามารยาทสงบเสงี่ยม เห็นว่าเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน ความรักก็ได้ตั้งขึ้น อีกเหตุหนึ่งคือด้วยที่ชาติหนึ่งสามเณรนิโครธเคยเกิดเป็นพี่ชายของพระเจ้าอโศก ชาตินั้นเกิดเป็นพ่อค้าพี่น้อง ... จึงได้ให้ทหารไปนิมนต์มาในพระราชวัง ถกถามนิมนต์ให้แสดงธรรม เป็นต้นว่า "ความไม่ประมาทเป็นทางไม่ตาย ความประมาทเป็นทางตาย" พระเจ้าอโศกเกิดความเลื่อมใส จึงรับสั่งถวายธุวภัต ๘ ที่ สามเณรบอกว่า ดีละจะได้เอาไปถวายพระอุปัชฌายะ ทรงรับสั่งว่างั้นจะถวายอีก ๘ ที่ สามเณรบอกว่า ดีละจะได้เอาไปถวายแด่อาจารย์ ทรงรับสั่งอีกว่าจะถวายอีก ๘ สามเณรตอบว่า ดีละจะได้ถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ ... พระเจ้าอโศกพอพระทัยอย่างมาก  จึงรับสั่งจะถวายธุวภัตแด่พระสงฆ์ทุกรูปที่มาฉันในพระราชวัง และยังบอกกับพระภิกษุเหล่านั้นอีกว่า ให้ทุกรูปบอกพระภิกษุมา จึงเป็นการทำทานแบบทวีคูณ ... และเป็นการกันให้บวชนอกศาสนาพุทธน้อยลงไปเรื่อย ๆ
  • พระเจ้าอโศกได้สร้างวัดอโศการาม ขึ้นเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา และสั่งให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทั่วอาณาจักร ในการฉลองพระวิหาร พระเจ้าอโศกมหาราชมีปีดียินดีอย่างยิ่ง และได้ถามพระภิกษุสงฆ์ว่า มีใครที่ทำทานมากเท่าพระองค์หรือไม่ พระสงฆ์ทั้งหลายได้มอบหมายให้ พระโมคคลีบุตรติสสะเถระเป็นผู้ตอบคำถาม พระติสสะเถระตอบว่า ไม่มี พระองค์เป็นถวายทานมากที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด 
  • พระเจ้าอโศกถามอีกว่า แล้วข้าพเจ้าได้ชื่อว่าเป็นยาทแห่งพระศาสนาหรือยังหนอ? พระติสสะตอบว่า ยังไม่เป็นทายาท เป็นเพียงปัจจัยทายก หรืออุปัฏฐากเท่านั้น แม้จะบริจาคปัจจัยทั้งแผ่นดินถึงพรหมโลกก็ใช่เป็นทายาท แห่งพระศาสนา  การจะเป็นทายาทแห่งพระศาสนานั้นจะยากจนหรือร่ำรวยไม่สำคัญ เพียงให้บุตรหรือธิดาบวชในพระศาสนา  พระเจ้าอโศกจึงถามลูกคือ พระมหินท์ พระมหินทกุมารอยากจะบวชอยู่แล้วจึงตกลง พระธิดาชื่อสังฆมิตตาซึ่งสวามีก็ได้ออกบวชแล้วพร้อมกับพระติสสะกุมาร (น้องร่วมท้องพระเจ้าอโศก)ไปแล้ว ก็ได้ขอบวชด้วย ในคราวนั้น 
  • พระมหินท์อายุตอนบวช ๒๐ ปี และได้บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาในพิธีบวชนั้น ขณะนั้นพระเจ้าอโศกอภิเษกได้ ๖ ปี ท่านศึกษาอยู่เพียง ๓ พรรษาก็สำเร็จรอบรู้พระไตรปิฎกเถวรวาทและอรรถกถาทั้งสิ้น มีภิกษุที่เป็นศิษย์อยู่่ ๑,๐๐๐ รูป เมื่อพระเจ้าอโศกภิเษกได้ ๙ ปี 
  • พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก มีการสร้างสระน้ำ วัด วิหาร ศิลาจารึก จำนวนมาก ในขณะที่มีปัญหาหรืออธิกรณ์เกิดขึ้นมากมาย จากพวกแอบอ้างมาเป็นนักบวช พระเจ้าอโศกได้จัดให้มีการประชุมสงฆ์ที่วัดอโศการาม แล้วขึงผ้าขาวกั้นไว้ แล้วให้พระสงฆ์แต่ละหมู่เข้ามา ตอบปัญหาธรรม เมื่อตอบไม่ได้ ก็ทรงมอบผ้าขาวให้สึกไปถึง ๖ หมื่นรูป ... มีเรื่องราวเกิดมาก พระโมคคลีบุตรติสสะเถระ เป็นที่พึ่งหลักของพระองค์ในครานั้น  ... ตามที่ได้พระเถระได้พยากรณ์ไว้ตั้งแต่ ๑๐๐ ปีที่แล้ว
  • พระโมคคลีบุตรติสสะเถระนี้เองที่เป็นผู้นำให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ โดยคัดเลือกพระเถระ ๑,๐๐๐ รูป ดำเนินการอยู่ ๙ เดือนจึงสำเร็จ (อ่านที่นี่)
  • พระโมคคลีบุตรติสสะเถระพิจารณาว่า พระพุทธศาสนาจะยั่งยืนอยู่ได้ ณ ที่ใด จึงตั้งพระธรรมฑูตไปเผยแผ่ ๙ สาย ดังนี้ 
    • ส่งพระมัชฌันติกเถระ ไปยัง รัฐกัสมีระ คันธาระ
    • ส่งพระมหาเทวเถระส่ง ไปยัง มหิสกมณฑล 
    • ส่งพระรักขิตเถระ ไปยัง วนวาสีชนบท 
    • ส่งพระโยนกธรรมรักขิตเถระ ไปยัง อปรันตกชนบท 
    • ส่งพระมหาธรรมรักขิตเถระ ไปยัง มหารัฐชนบท 
    • ส่งพระมหารักขิตเถระ ไปยัง โลกเป็นที่อยู่ของชนชาวโยนก 
    • ส่งพระมัชฌิมเถระ ไปยัง ชนบทอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งหิมวันตประเทศ 
    • ส่งพระโสณกเถระ ๑ พระอุตตรเถระ ๑ ไปยัง สุวรรณภูมิชนบท 
    • ส่งพระมหินทเถระผู้เป็นสัทธิวิหาริกของตน กับพระอิฏฏิยเถระ พระอุตติยเถระ พระสัมพลเถระ พระภัททสาลเถระ ไปยังเกาะตัมพปัณณิทวีป
พระมหินทเถระประกาศศาสนาที่เกาะลังกา
  • พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ว่า ณ เกาะตัมพปัณณิทวีป (ฝรั่งบอกว่าเป็นเกาะลังกา) จะมีพระเถระชื่อพระมหินท์ มาประกาศพระพุทธศาสนา
  • เมื่อพิจารณาไทม์ไลน์การปกครองของเกาะตัมพปัณณิทวีปจากพระไตรปิฎก จะได้ดังนี้

  • ปีที่สวรรคตของพระเจ้าปกุณฑกาภัย บอกไว้ไม่ชัดเจน จึงทำอักษรสีแดงไว้สำหรับผู้รู้ 
  • สรุปได้ว่า หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราช ขึ้นครองราชย์ในปีที่ ๑๗ ปี พระมหินทะเถระ และพระสังฆมิตตาเถรี ซึ่งเป็นบุตร-ธิดา ได้ออกไปเผยแผ่พระศาสนาที่เกาะตัมพปัณณิทวีป 
ขอพักการจับประเด็นไว้เท่านี้ก่อนนะครับ 

ประเด็นที่น่าสนใจ
  • การเดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากการทำสังคายนาครั้งที่ ๓  
  • ไม่พบว่าศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช (ของชาวอินเดีย) ได้บันทึกเรื่องการส่งพระมหินท์เถระและพระสังฆมิตตาเถรี ไปเผยแผ่ ... ประเด็นนี้เป็นพิรุจ ที่ ศ.ดร.ชัยยงค์ พรมวงศ์ แย้งว่า พระเจ้าอโศกมหาราชที่อินเดีย กับพระเจ้าอโศกมหาราชในพระไตรปิฎกกล่าวถึง เป็นคนละคนกัน 
  • ทีมวิจัยที่นำโดย ศ.ดร.ชัยยงค์ มีความเห็นว่า เกาะตัมพปัณณิทวีป ไม่ใช่ ประเทศศรีลังกา เหมือนที่นักโบราณคดีชาวอังกฤษบอก  ท่านมีความเห็นว่า เกาะลังกา ก็คือ พื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน 

ผมเชื่อว่า พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ที่พื้นที่แถบไทย พม่า ลาว เขมร นี้แน่นอน โดยไม่ต้องไปถกเถียงพิสูจน์อะไรมากนัก  เพราะ 
  • ผมนับถือพุทธนิกายเถรวาท จึงยึดเอาข้อความในพระไตรปิฎกเป็นหลัก
  • ภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ที่ระบุในพระไตรปิฎก ตรงกับพื้นที่ดังกล่าวนี้  ไม่ตรงเลยกับที่อีนเดีย  (อ่านที่นี่)
  • ฤดูกาล ความหลากหลายทางชีวภาพ  และเวลา สอดคล้องกับพื้นที่นี้ ไม่ตรงกับที่อินเดีย 
เท่านี้ก็พิสูจน์ได้มากพอแล้วที่จะเริ่มขุดค้นและศึกษากันอย่างจริงจัง เพราะข้อมูลทางกายภาพเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนในช่วงเพียงพันปี  ความเอียงของแกนโลกหรือตำแหน่งที่บิดไปแห่งวงโคจรของโลกกับดวงอาทิตย์ไม่ได้เปลี่ยนไปจนจะส่งผลได้ขนาดนั้นแน่นอน 


วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2562

เรียนรู้ประวัติศาสตร์ฐานพุทธ: จากอินเดียสู่อินเดีย ชมพูทวี ๒-๔

มาต่อกันคลิปที่ ๒ ครับ ... สาธุ อนุโมทนา กับปัญญาและวิทยาทานของท่านครับ ...



  • อัฟกานิสถาน เป็นทางผ่าน เป็นจุดผ่าน และเป็นเส้นทางค้าขายด้วย เพราะระหว่างจีนและอินเดียจะมีภูเขาหิมาลัยกั้นอยู่  
  • อีกจุดหนึ่งที่เป็นทางผ่าน คือพื้นที่ตะวันออกของอัฟกานิสถานคือ ปากีสถานซึ่งมีเมืองตักสิลาเป็นเมืองสำคัญ ปัจจุบันเป็นพื้นที่ระหว่างเมืองหลวงเก่า ลาวันปินดิ และเมืองหลวงปัจจุบันคือ อิสลามาบัด  อย่ห่างจากอิสลามาบัดเพียง ๘ กิโลเมตรเท่านั้น  
  • ขึ้นไปทางเหนือ จะมีเมืองพามียาน หรือ บามียาน อยู่ห่างไปทางตะวันตกของกรุงกาบูน เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน เมืองนี้คือที่ตั้งของพระพุทธรูปใหญ่ที่ถูกกลุ่มตาลีบันระเบิดทำลายไป 
  • ถ้าขึ้นเหนือจากพามียานไปอีก มีเมืองชื่อ แบ้กตร้า เป็นเมืองหลวงของแค้วแบ้กเตรีย ซึ่งยึดครองโดยชาวเปอร์เซียร์ หรือชาวอิหร่านในปัจจุบัน  ที่นี่คือแหล่งกำเนิดของศาสนาโซโลแอสเตอร์  
  • เส้นทางสายไหมเก่า ก็ผ่านพื้นที่นี้เช่นกัน ประมาณ ๓๒๕ ปีก่อนคริสต์ศักราช  เป็นเส้นทางที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ผ่านจากยุโรปไปยังอินเดียและจีน 
  • พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ได้ยกทัพมาถึงตักสิลานคร ยึดลงทางเมืองบักเตรีย และมาพบปู่ของพระเจ้าอโศก (จันทรคุป) ก่อนจะยกทัพกลับไปเมื่อ ๓๒๖ ปี และตั้งแม่ทัพเป็นเจ้าเมืองไว้ แม่ทัพคนหนึ่งจึงสร้างอาณาจักรแบ้กเตรียขึ้น ที่เมืองกันธาหาน ชื่อกษัตริย์ ซีเรียวคัส ... ต่อมาพื้นที่นี้ถูกยึดโดยพระเจ้าจันทรคุป
  • ช่วง ค.ศ. ๗๐๐ กว่า หรือ พ.ศ. ๑๒๐๐ กว่า มุสลิมเข้ามายึดครองที่เมืองกันธาหานและอาณาจักแบ้กเตรียทั้งหมด  
  • ช่วง ค.ศ. ๑๒๒๑ เป็นยุคของเจงกิสค่าน เป็นที่เข้ามายึดเมืองและทำลายย่อยยับ 



  • อาณาจักรบักเตรียนี่เองที่เป็น "แคว้นโยนก" ที่มีบันทึกในประวัติศาสตร์อินเดีย   คำว่าโยนก เพี้ยนมาจากคำว่า ไอโอเนียเป็นชาวกรีกอพยพลงมาอยู่แผ่นดินตรงนั้น ปัจุบันก็คือ ประเทศตุรกี 
  • บริเวณนี้เองที่เป็นแหล่งกำเนิดของนักปรัชญาตะวันตกสำคัญ ๆ ในช่วงสมัยพุทธกาล  เช่น ทาลีส (Thales) อเนกซีมานเดอร์ พีทากอรัส ฯลฯ  
  • ทาลีสหรือเทลีส เกิดเมื่อ ๖๒๔ ปี ก่อนคริสต์ศักราช ตายเมื่อ ๕๔๖ ก่อนคริสต์ศักราช อายุด ๗๘ ปี  เกือบจะพร้อม ๆ กับพระพุทธเจ้าเลย  เกิดก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี 
  • พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอนหนึ่งว่า  "ในแคว้นโยนมีเพียงสองชนชั้นเท่านั้น คือชนชั้นเจ้านายและชนชั้นทาส" แสดงว่า น่าจะมีการติดต่อถึงกันกับชาวไอโอเนี่ยนกรีก เพราะตรงกับหลักฐานจากไอโอเนี่ยนกรีก ที่แบ่งชนชั้นออกเป็น ๒ ได้แก่ พวกชนชั้นเจ้านายและพวกทาส 
  • ลูกศิษย์ของทาลีสคนหนึ่งชื่อ โสกราตีส ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักปรัชญาคนแรกที่ใช้วิธีถามตอบมาใช้ ... แต่ที่จริงแล้ว โสกราตีสนั้นเกิดหลังพระพุทธเจ้า ๑๖๐ ปี  และพระพุทธเจ้าใช้วิธีถาม-ตอบนั้นมาแล้ว 
  • ปี พ.ศ. ๓๓๐ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช มาตีได้ทั้งแคว้นโยนก  ทรงตั้งเมืองกันธาหานเป็นเมืองคันธาละ  ตั้งเมืองเฮลาดเป็นเมืองอเล็กซานเดรีย แล้วตั้งกษัตริย์ซีเรียวคัส พื้นที่เหล่านี้จึงปกครองด้วยชาวกรีก  ... ชาวชมพูทวีปเรียกทั้งหมดว่าเป็น ไอโอเนี่ยนหรือ โยนะ หรือ โยนก ทั้งหมด กรีกปกครองพื้นที่นี้อยู่ราว ๒๐๐ ปี 
  • เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมการเดินทางหลายเส้นทาง แคว้นโยนะหรือโยนก จึงเป็นแหล่งรวมอารยธรรมต่าง ๆ  ทั้งกรีก อียิปต์ จีน อินเดีย ฯลฯ 
  • ตำราเรื่อง ฮินดูเวิร์ล บอกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเมือง กันทหานและแคว้นคัลธาละ ทำให้อาจสามารถจะสันนิษฐานได้ว่า อาจจะเป็นการเพี้ยนเสียงหรือคำกันได้ 
  • พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ต้องการจะบุกอินเดียซึ่งตอนนั้นราชวงศ์นันทะมีอิทธิพลอยู่มาก  จึงหาวิธีจะทำลายความเข้มแข็งภายใน จึงจะคบหากับจันทรคุป (ปู่ของพระเจ้าอโศกในเวลาต่อมา)  แต่พอจะพบกันเกิดปัญหาว่าใครจะเคารพใคร จันทรคุปไม่ยอมทำความเคารพ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จึงจับจันทรคุปขังไว้  ... แต่หนีไปได้ในเวลาต่อมา  (จันทรคุปนี้มีชื่อเป็นภาษากรีก ว่า เจ้าชายซันโดรโกตรอส บันทึกไว้ในหลักฐานฝ่ายกรีกด้วย)
  • ต่อมาพระเจ้าอเล็กซานเดอร์เลิกทัพไม่บุกราชวงศ์นันทะ ด้วยสันนิษฐานสองสาเหตุ ๑ คือทหารเหนื่อล้ามากเพราะรบมานานมาก และ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เองที่เบื่อหน่ายการรบ อีก ๑ คือ อาจจะเป็นเพราะเกรงว่าจะสู้กับราศวงศ์นันทะไม่ได้   ราว ๆ  ๓๒๖ ก่อน ค.ศ.
  • ส่วนจันทรคุป เมื่อหนีไปได้  ก็รวบรวมกำลังพลเข้าตีแต่ก็แพ้พระเจ้านันทะ  ... วันหนึ่งไปแอบได้ยินยายคนหนึ่งด่าหลานที่กินขนมเบื้องที่เพิ่งออกจากเตา แล้วลวกปากตนเองว่า  "เองมันเหมือนพระเจ้าจันทรคุป  จะไปกินตรงกลางขนมเบื้อง ก็ร้อนก่อนสิ ต้องกินตรงริม ๆ ขอบ ๆ ก่อน สิ " พระเจ้าจันทรคุปจึงรวบรวมกำลังพลค่อย ๆ ตีชายแดนมาเรื่อย ๆ  ในที่สุดก็สามารถตีราศวงศ์นันทะลงได้ ในปี ๓๒๕ ก่อน ค.ศ. สถาปนาราชวงศ์เมาริยะ 
  • พระเจ้าจันทรคุป จัดการบ้านเมืองเสร็จก็ขยายอาณาเขตแดนไปถึงแคว้นคันธาละ เอาชนะพระเจ้าซีเรียลคัส
  • พระเจ้าจันทรคุป ปกครองต่อมา มีลูกชื่อพระเจ้าพินธุสาร ลูกของพระเจ้าพินธุสารก็คือ พระเจ้าอโศกมหาราช 
  • ขณะที่พระเจ้าพินธุสารสวรรคต พระเจ้าอโศกเป็นเจ้าเมืองอุชเชนีย์ แคว้นอวันตี ก่อนจะยกทัพมาฆ่าล้างพี่น้องร่วมบิดาตายหมดเป็นร้อย เหลือไว้แต่น้องร่วมท้องมารดาคนเดียว โหดร้ายมาก จึงถูกเรียกว่า "จันดาโศก" ขึ้นครองราชย์ที่เมืองปาตลีบุตร 
  • พระเจ้าอโศกขยายอาณาเขตไปเรื่อย ๆ ยิ่งใหญ่ที่สุดในอินเดีย  จนกระทั่งยกทัพมาตีแคว้นกาลิงคะ ซึ่งมีกษัตริย์ที่เข้มแข็งมาก คนตายเยอะมาก ตายกันเป็นแสน
  • วันหนึ่งพระเจ้าอโศกได้พบเณรองค์หนึ่ง ... เกิดสลดพระทัย หันมานับถือศาสนาพุทธ จึงเลิกการรบ เปลี่ยนการเอาชนะด้วยสงคราม มาเป็นการเอาชนะด้วยธรรมะ (ธรรมวิชัย)
  • พระเจ้าอโศกได้ขยายเผยแผ่พระพุทธศาสนาขจรขจายไปทั่วทิศ  สร้างวัดถึง ๘๔,๐๐๐ วัด ให้การศึกษา ขุดบ่อน้ำ ทำถนนหนทาง สร้างโรงพยาบาล สร้างที่พักเดินทาง ทำศิลาจารึก เป็นเหตุให้ แคว้นพิหารซึ่งแต่ก่อนคือแคว้นมคธ เต็มไปด้วยวัด   
    • หลักฐานที่บอกว่าลุมพินีวันที่เนปาล และสถานสำคัญ ๆ ทั้งหมด ก็ด้วยหลักฐานที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้  
    • โดยเขียนในจาลึกในศิลาเสาหินเลยว่า "ที่นี่คือที่ประสูติของพระพุทธเจ้า" ฯลฯ 
  • ยอดเสาหินจะมีสิงห์สี่ตัวหันไปทั้งสี่ทิศ ทูนหัวไว้ด้วยธรรมจักร ... แสดงถึงความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ...ภายหลังเมื่ออินเดียได้เอกราช จึงได้นำเอาตราธรรมจักรมาไว้ในธงชาติด้วย เพื่อยกย่องแด่กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประวัติศาสตร์อินเดีย  ส่วนหัวสิงห์ก็ใช้เป็นตราแห่งแผ่นดินอินเดีย
  • ศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชนี่เอง ที่เป็นแหล่งความรู้ เป็นหลักฐาน ของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เรารู้กันในวันนี้ 
  • ทรงตั้งธรรมฑูตเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปถึง ๙ สาย  สายหนึ่งมาที่สุวรรณภูมิ  ส่วนสายที่ไปเกาะลังกา (ศรีลังกา) ได้ส่งลูกชายคือ พระมหินท์มาเอง  ศาสนาพุทธจึงตั้งรากฐานที่ศรีลังกาอย่างมั่นคง 
  • หลังจากพระเจ้าอโศกมหาราชสวรรคตไปแล้วประมาณ ๕๐ ปี สมัยเหลนของพระเจ้าอโศก อมาตย์ที่นับถือพราหมณ์ซึ่งแค้นพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว เกิดการทรยศขึ้นแย่งอำนาจตั้งราชวงศ์ใหม่ชื่อราชวงศ์สงคะ ... พระพุทธศาสนาจึงเสื่อมลงที่อินดีย  ไปเจริญที่แควันคันธาละ 
  • ผ่านมาถึง ๑๖๐ ก่อน ค.ศ.  ทางโยนกมีกษัตริย์ยิ่งใหญ่ชื่อ พระเจ้าเมนานเดอร์ (พระเจ้ามิลินทะ) เป็นกำลังสำคัญของชาวพุทธ ทำให้พุทธศาสนารุ่งเรืองต่อมา 


  • เมื่อถึง ค.ศ. ๗๘ หรือ พ.ศ. ๖๒๑ มีพระเจ้ากานิศกะมหาราช นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมาก อยู่ที่เมืองเตชะวา ท่านเป็นชนเผ่าศกะ จึงตั้งศักราชขึ้น แปลว่า ราชาแห่งชาวศกะ เป็นราชวงศ์กุศาน  และมีการจัดให้มีการสังคยานาครั้งที่ ๔ (ฝ่ายมหายาน) และส่งฑูตไปทั่วทางเอเชียร์กลาง
  • ต่อมาในปี ๓๒๐ ปี ก่อน ค.ศ.  มีราชวงศ์ใหม่เกิดขึ้นชื่อว่า ราชวงศ์คุปตะ ตั้งเมืองหลวงไว้ที่เมืองปาตรีบุตร  มีชื่อเสียงด้านการสร้างศิลปะ เช่น พระพุทธรูป ฯลฯ ครองอยู่ ๒๒๐ ปี ก็เสื่อมไป 
  • ก่อน ค.ศ. ๒๕๐ - ๓๐๐ สันนิษฐานว่า มีการสร้างพระพุทธรูปใหญ่ที่บามิยาน 
  • วัดเป็นศูนย์กลางทั้งทางศิลปะและวัฒนธรรม มีการรวมวัน ๖ วัด กลายมาเป็นมหาวิทยาลัยนาลันทาในเวลาต่อมา  และเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก ในราว ๆ ค.ศ. ๓๐๐ -๔๐๐ 
  • ต่อมาประมาณ ค.ศ. ๕๔๐ หรือ พ.ศ. ๑๕๘๓ ราชวงศ์คุปตะก็เสื่อมไป เพราะมีกองทัพภายนอก มีการรุกรานจากนักรบหลังม้าฮั่น  มาจากอาเซียร์กลาง แบ้กเตรีย โยนก มาคันธาละ ตักสิลา เรียบหมด ... แต่นาลันทาก็ยังรุ่งเรืองอยู่ 
  • ต่อมาเมื่อ ค.ศ. ๔๐๒ หรือ พ.ศ. ๙๔๕ หลวงจีนฟาเหียน ได้เดินทางเข้ามาแสวงบุญศึกษาที่ตักสิลา และได้จดบันทึกประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไว้ 
  • ปี ค.ศ. ๖๐๖ หรือ พ.ศ. ๑๑๕๙  มีพระเจ้าหัตษะ หรือ พระเจ้าหัตษวัฒนะมหาราช ตั้งเมืองหลวงชื่อ กันโนชะ หรือเมือง กันเนา ห่างจากนิวเดลีมาทางตะวันออก 
  • ค.ศ. ๖๓๐ หรือ พ.ศ. ๑๑๗๓ พระถังซัมจั๋ง  นักปราชญ์แห่งราชวงศ์ถัง เดินทางมาแสวงบุญ ที่นั่น เป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยนาลันทาอยู่หลายปี และได้เขียนบันทึกโลกตะวันตก (record of the western journey) เป็นหลักฐานให้ได้ศึกษาต่อมา 
  • องค์ความรู้ต่าง ๆ จากอินเดียนี่เองที่ขยายไปสู่ส่วนต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ตัวเลข 1 2 3 ... จริง ๆ ก็ไปจากอินเดีย ไม่ใช่อาราบิก  แต่เรียกว่า ฮินดูอาราบิก  เพราะชาวอาหรับเอาความรู้นี้มาจากอินเดีย 
  • พระเจ้าหัตสวัฒนะครองราชย์อยู่ ๔๑ ก่อนจะถูกอามาตย์พราหมณ์ปลงพระชนม์ถึงสองรอบ 
  • พระนาบีมูฮัมหมัดสิ้น ใน ค.ศ. ๖๒๒  องค์กาหลิบองค์ที่ ๒ จึงยกทัพไปตีเยลูซาเลมและขยายไปทุกทิศ ค.ศ. ๗๐๐ เศษ อาหรับก็เริ่มตีเข้ามาทางแคว้นคันธาละ แต่ก็ตีไม่ได้ไกลนัก
  • ผ่านมาอีกประมาณ ๒๐๐ ปี เป็นยุคของเติร์กมุสลิม เอาชนะอาหรับได้ และตีเข้ามาในชมพูทวีปได้ มีการจารึกว่า มีการปล้นวัด เอาทรัพย์สินของวัด ฆ่าพระ เผาทำลายหนังสือ ทำลายทุกสิ่งอย่าง 
  • ค.ศ. ๑๒๐๐ หรือ พ.ศ. ๑๗๔๓ พุทธศาสนาก็สูญสิ้นจากอินเดีย  และนักประวัติศาสตร์ของเติร์กมุสลิมได้เขียนสดุดีความสำเร็จของตนเองด้วยความภูมิใจว่า  " เราได้ยกทัพไป รบชนะ จับได้เฉลยเป็นอันมาก ... เราได้ให้เขาเลือกเอาระหว่างดาบหรืออัลเลาะห์ ... เราได้ยึดทรัพย์สินมามากมายเหลือเกิน นับจนมือชา 
  • พระส่วนหนึ่งหนีไปทางเนปาล ทิเบต ลงเรือมาพม่า ลงเรือมาสุมาตรา ฯลฯ 
  • ต่อมาก็เป็นการรบระหว่างฮินดูกับมุศลิม และเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแล้ว 
เกี่ยวกับพุทธประวัติ 
  • พระพุทธเจ้าประสูติ ค.๖๒๓ ปี ก่อน ค.ศ. 
  • ในช่วงที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน เมื่อ ๕๔๓ ก่อน ค.ศ.   หลังจากนั้น ๓ เดือน จึงมีการสังคยานาขึ้น  อีกร้อยปีจึงทำครั้งที่ ๒ และทำอีกครั้งที่ ๓ ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช 
  • ในช่วงนั้น พระเจ้าพิมพิสาร ได้เสียชีวิตไปก่อนพระพุทธเจ้าแล้ว ถูกทำปิตุฆาตโดยพระเจ้าอาชาติศัตรู  
  • พระเจ้าปเสนทิโกศลที่พี่เขยของพระเจ้าพิมพิสาร จึงยกทัพรบกันกับพระเจ้าอาชาติศัตรู แต่ก็รบแพ้พระเจ้าอาชาติศัตรู  วันหนึ่งได้ยินพระท่านคุยกันเรื่องการจัดทัพ จึงนำเอาวิธีจัดทัพนั้นไปใช้ จึงจับพระเจ้าอาชาติศัตรูได้ 
ประเด็นที่น่าสนใจ
  • ไทยและฝรั่งนับระยะแตกต่างระหว่าง ค.ศ. กับ พ.ศ. ไม่เท่ากัน  ต่างกันอยู่ ๖๐ ปี  คนไทยจะบวก ค.ศ. ด้วย ๕๔๓ มาเป็นเป็นพี พ.ศ. ส่วนฝรั่งจะลบ พ.ศ. ด้วย ๔๘๓ ไปเป็น ค.ศ.  ด้วยเหตุว่าอ้างหลักฐานต่าง ๆ คนละแหล่ง 
    • หลักฐานของฝรั่งยึดว่า ปีที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์เจอกับพระเจ้าจันทรคุป และจารึกพระเจ้าอโศก ที่ส่งฑูตไปซีเรีย อิยิปต์ 
    • หลังฐานทางพุทธคือ พระไตรปิฎก
  • หลักฐานที่อ้างอิงว่า พระพุทธเจ้าประสูติที่อินเดียคือ ศิลาจารึกที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างขึ้น  ๒๐๐ กว่าปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน 

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

เรียนรู้ประวัติศาสตร์ฐานพุทธ: จากอินเดียสู่เอเชีย ชมพูทวี ๑

พระพุทธโฆษาจารย์ ป. ประยุตโต ได้เล่าเรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวข้องกับความเป็นมาของหลักคำสอนของพุทธศาสนา ได้อย่างน่าฟังยิ่ง


เยรูซาเลมเมืองศักดิ์ต้นกำเนิดแห่งความขัดแย้ง
  • อัฟกานิสถาน เคยเป็นแดนพระพุทธศาสนา จะเห็นจากที่มีพระพุทธรูป
  • อัฟกานิสถาน ตั้งอยู่ในดินแดนของชมพูทวีป ชมพูทวีปประกอบด้วยแคว้น ๑๖ แคว้น  เริ่มจากตะวันออกนับไปเรื่อย ได้ดังนี้ 
    • แคว้นอังคะ คือบังคลาเทศในปัจจุบัน 
    • แคว้นมคธ  ซึ่งเป็นแคว้นคู่กับอังคะ
    • แคว้นกาสี  มีเมืองหลวงชื่อ เมืองพาลาณสี
    • แคว้นโกศล มีเมืองหลวงชื่อ สาวัตถี คู่กับแคว้นกาสี 
    • แคว้นวัชชี  เป็นมหาอำนาจในยุคพุทธกาล มีเมืองหลวงชื่อ เวสาลี
    • แคว้นมัลละ มีเมืองหลวงชื่อ กุสินารา  เมืองที่ประพุทธเจ้าปรินิพพาน 
    • แคว้นเจตี ไม่ค่อยมีชื่อเสียง
    • แคว้นวังสะ มีเมืองหลวงชื่อโกสัมพี  เมืองสำคัญของกามนิตรวาสิถี 
    • แคว้นกุรุ 
    • แคว้นปันจาละ
    • แคว้นมัจฉะ
    • แคว้นเจนละ
    • แคว้นอัสกะ
    • แคว้นอวันตี มีชื่อเสียงเรื่องกามนิตรวาสิถีด้วย มีเมืองหลวงชื่อ อุตเชนี 
    • แคว้นคันธาละ  มีเมืองหลวงชื่อตักสิลา เป็นเมืองของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ เช่น หมอชีวก  ฯลฯ ปากีสถาน อัฟกานิสถาน อยู่ในแคว้นนี้เอง 
    • แคว้นกัมโพชะ อยู่เหนือสุดต่อกับอาเซียร์กลาง 
  • เยรูซาเลม เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของ ๓ ศาสนา ได้แก่ ยว อิสลาม และคริสต์  แต่แทนที่จะปรองดองกับเป็นเหตุให้รบกันมาเป็นพันปี 
  • ดินแดนแถบประเทสอิสราเอล พวกยิวเคยอยู่มาก่อนราว ๆ ๔,๐๐๐ ปีก่อน  ต่อมาเกิดความแห้งแล้งจึงอพยบไปอยู่อิยิปต์  
  • กษัตรย์ฟาโรว์ เกรงจะศูนย์เสียพื้นที่ให้กับยิว จึงจับคนยิวเป็นทาส สร้างปีรามิดในยุคที่อาราจักโรมันรุ่งเรือง 
  • ประมาณ ๑,๒๐๐ ปี ก่อนคริสต์จักราช  ได้มีคำทำนายว่า คนยิวจะมีผู้นำที่เข้มแข็งมาเกิด แล้วจะพาคนยิวให้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์ฟาโรว์จึงรับสั่งให้ฆ่าเด็กยิวทั้งหมด  
  • แต่มีเด็กคนหนึ่งที่รอดมาได้ ซึ่งภายหลังก็คือโมเสส แม่ได้ลอยแพให้มาตายเอาดาบหน้าในตะกร้าลอยน้ำไป ตะกร้าลอยน้ำไปติดตาข่ายที่ใช้ป้องกันความปลอดภัยให้เจ้าหญิงชาวอิยิปต์ 
  • เจ้าหญิงเกิดความเอ็นดู เลยเก็บไปเลี้ยงในวัง เมื่อโตขึ้นก็ได้เป็นใหญ่เป็นโต คอยช่วยเหลือคนยิว และพาชาวยิวหนีออกจากอิยิปต์ ข้ามรีซซี รอดการตามล่าของกองทัพอียิปต์ที่ถูกน้ำขึ้นท่วมตายหมด 
  • เมื่อข้ามไปได้ แต่เจอกับความแห้งแล้งของทะเลทราย  คนเริ่มขาดวินัย โมเสสจึงขึ้นไปยอดเขา กลับลงมาบอกว่า ได้ไปพบกับพระเจ้า  พระยะโฮวา  ได้รับสั่งว่า ให้ทุกคนปฏิบัติตามบัญญัติ ๑๐ ประการ  ทำให้คนยิวมีความหวัง มีระเบียบวินัย เชื่อว่าโมเสสก็คือพระศาสดาของศาสนายิว  เข้าไปอาศัยอยู่ในแผนดินที่เป็นปาเลสไตล์และอิสราเอลในตอนนี้ 
  • ต่อมาก็แตกออกเป็นสองอาณาจักร คือ อาณาจักรยิวและอาณาจักรยูดา (หรือจูดา ก็คือ จอร์แดนในปัจจุบัน)
  • ต่อมาถูกชนชาติอื่น ๆ เวียนมาปกครองคนยิวหลายครั้ง จนกระทั่งอาณาจักรโรมันเข้ามาปกครอง  
  • ในสมัยของออกัสตัสซีซาร์  จักรพรรดิของโรมัน พระเยซูเกิดขึ้นในยุคนี้ อายุประมาณ ๑๒ กว่า - ๒๗ ปี  ประวัติหายไป 
  • พระเยซูอายุ ๓๐ เริ่มสอน ถูกจักรวรรดิโรมันอิจฉา  ถูกลูกศิษย์ของตนคนหนึ่งหักหลัง โรมันสืบสวนและตัดสินให้ตรึงไม้กางเขน  ท่านสอนอยู่เพียง ๓ ปีเท่านั้นเอง  แสดงว่าท่านสิ้นชีพตอนพระชนม์มายุเพียง ๓๓ ปี 
  • ในช่วงประวัติที่หายไปของพระเยซูคริสต์ อายุ ๑๒ -๒๗ ปีนั้น มีการค้นคว้ามากมาย มีอธิบายไว้หลายทาง 
    • ทางหนึ่งบอกว่า ในช่วงนั้นท่านมาเรียนรู้ศาสนาพุทธที่ชมพูทวีป  ท่านนับถือศาสนาพุทธ และไปสอนคำสอนของพุทธ  แต่คำสอนคริสต์ในขณะนี้เป็นคำสอนที่คิดขึ้นใหม่ 
  • ในช่วงที่โรมันเป็่นใหญ่นี้ ชาวคริสต์ถูกกำจัดเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งประมาณปี ค.ศ. ๓๐๐  กษัตริย์คอนสแนตินของโรมัน กลับหันมานับถือคริสต์เสียเอง หลังจากนัน ศาสนาคริสต์กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติไป  จึงเริ่มการกำจัดผู้ต่อต้านคริสต์บ้าง 
  • อีกประมาณ ๓๐๐ ร้อยปีต่อมา มีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งชื่อ เมืองเมกกะ อยู่ใต้นครเยรูซาเลมลงมาประมาณ ๑,๒๐๐ กิโลเมตร มีชายชื่อมูฮัมหมัด ซึ่งต่อมาก็คือศาสนาของศาสนาอิสลาม เริ่มสอนว่าคำสอนของอิสลาม  สู้ไม่ได้จึงหนีอยู่เหนือเมืองเมกกะประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร ชื่อเมืองมดินะ ก่อนจะกลับมาทำสงครามได้เมืองเมกกะคืน ท่านเผยแผ่ศาสนาอยู่จนปี ค.ศ. ๖๓๒ ปี 
  • ศาสนาอิสลามจึงเกิดขึ้น หลังจากคริิสตศักราช ๖๓๒ ปี  ก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ที่เมืองเยรูซาเลม เยรูซาเลมจึงเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามด้วย 
  • กาหลิบ ผู้สืบทอดต่อจากพระมูฮัมหมัด ก็ทำสงครามขยายดินแดนเรื่อยมาก จนป ค.ศ. ๖๔๐ จึงสามารถตีเอาชนะโรมันได้ครองเมืองเยรูซาเลม 
  • ชาวมุสลิมครองเมืองเยรูซาเลมเรื่อยมาอีกกว่า ๔๐๐ ปี ในขณะที่ทางคริสต์ที่มีโป๊ปเป็นใหญ่ มีอำนาจมาก สามารถสั่งลงโทษกษัตริย์ได้ 
  • ค.ศ. ๑,๐๙๙ โป๊ปพระองค์หนึ่ง มีดำริว่า จะไปตีเอาเมืองเยรูซาเลมกลับมา เกิดสงครามเยรูซาเลมกลับมา และปกครองอยู่เกือบร้อยปี  ก่อนจะถูกตีกลับเป็นของมุสลิม  ตีกลับไปกลับมาแบบนี้ ๘ ครั้ง แต่ส่วนใหญ่ก็ปกครองโดยชาวมุสลิมเป็นหลัก
  • สงครามโลกครั้งที่ ๑ อังกฤษเข้ามาปกครองเยรูซาเลม  เห็นว่า มีชาวยิวอยู่จำนวนหนึ่งสัก ๑๐ เปอร์เซ็นต์ มีความคิดว่า น่าจะมีดินแดนสำหรับชาวยิวเพราะมีประวัติศาสตร์ดังกล่าวมา จึงเปิดโอกาสให้ชาวยิวอพยลเข้ามา เป็นที่มาของอิสรเอล  อังกฤษปกครองจนสิ้นสมัยสงครามครั้งที่ ๒ เกิดสหประชาชาติ 
  • เนื่องจากมีปัญหาความขัดแย้งมาก จึงยกให้สหประชาชาติแก้ปัญหา ในปี ๑,๙๔๗ สหประชาชาติจึงมีมติให้แบ่งพื้นที่กันเป็นปาเลสไตล์ และอิสรเอล  
  • ปี ๑,๙๔๘ อิสรเอลประกาศตั้งรัฐใหม่ขึ้น  ทำให้มุสลิมไม่ยอมรับจึงรวมกันยกทัพเข้าตี แต่ปรากฎว่า อิสรเอลชนะ และได้ดินแดนเพิ่มขึ้น  ... เกิดสงครามยืดเยื้อต่อมาจนถึงปัจจุบัน 
  • ครั้งหนึ่งอิยิปต์ทำสงครามต้องการยึดอิสรเอล แต่ก้แพ้ไปเพียง ๖ วัน เรียกว่า "สงคราม ๖ วัน" 
ประเด็นอื่น ๆ
  • คนไทยยกย่องฝรั่งเพราะไม่เคยถูกปกครองโดยฝรั่ง
  • ประเทศที่เคยถูกฝรั่งปกครองมาก่อนจะไม่ยกย่องฝรั่ง เช่น ศรีลังกา ฯลฯ  ไม่เหมือนคนไทย
  • สิ่งที่ทำให้เกิดนิกายโปแตสแต็นคือ โป๊ปจะสร้างวิหารเซสท์ปีเตอสเบิร์ก จึงขายตั๋วบุญ  มาตินลูเทอร์ไม่เห็นด้วย จึงประท้วง และได้รับการสนับสนุนจากเจ้าชายจากเยอรมัน จึงเกิดสงครามรบกันมามากมาย ยาวนานกว่า ๓๐ ปี เรียกว่า เทอร์ตี้เยียสวอร์ 
  • พระเจ้าแผ่นดินอังกฤษองค์หนึ่งชื่อเอ็ดเวิร์ด จะไปแต่งงานกับแม่ม่าย โป๊ปไม่เห็นด้วย จึงแยกนิกายออกมาอีก ชื่อ นิกายอังกริค่าน แล้วกำจัดพวกคาทอลิก 
  • ลูกสาวของกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดองค์หนึ่งขึ้นเป็นใหญ่ในคาทอลิก จึงกำจัดพวกโปรแตสแต็นต์ ราษฎรหนีภัยไปที่เนเธอแลนด์ และหนีไปอเมริกา เป็นผู้บุกเบิกศาสนาที่นั่น  
  • ตั้งแต่ยุคเลเนอร์ซองค์มา ศาสนาคริสต์ก็ถูกแยกออกจากการเมืองการปกครองและค่อยเสื่อมลง 
ท่านสรุปว่า การแสดงความเห็นนั้น ต้องมีความรู้จริง ถ้าจะวิจารณ์อะไรต้องหาความรู้ก่อน จุดเด่นของฝรั่งคือ "การหาความรู้" ไม่ใช่ "แสดงความคิดเห็น" การคิดต้องคิดบนฐานของความรู้ คิดอย่างมีเหตุมีผล