ผมคำนึงว่า สิ่งที่ ดร.สเมธ ตันติเวชกุล เขียนไว้ในหนังสือ "ใต้เบื้องพระยุคลบาท" นั้น น่าจะนำไปใส่ไว้ในบทเรียน ให้นิสิตรุ่นใหม่ในมหาวิทยาลัยมหาสารคามทุกคน ได้รับรู้เข้าถึงใจว่า ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงงานอย่างไร... จึงขอนำเรื่องเล่าที่ประทับใจของท่าน มาเล่าต่อแบบ "จับคำ นำประเด็น" ดังนี้
ขั้นตอนการทรงงานภาคสนาม
...การตามเสด็จจะเริ่มประมาณบ่าย ๓-๔ โมง ส่วนมากจะไม่เสด็จออกก่อนบ่าย ๓ โมง นอกจากจะมีลักษณะการเดินทางที่ต้องกินเวลา....
...จุดแรกหรือที่พระองค์ทำ คือ... หนีบแผนที่เสด็จไปหาประชาชนก่อนเพื่อนเลย ส่วนมากจะไปคุยกับคนแก่ ๆ ... เพื่อตรวจเช็คข้อมูลจากประชาชนกับข้อมูลที่ทรงสืบค้นเตรียมไวด้วยพระองค์เอง ...
...จังหวะ ๒ จะเข้ามาทันที คือ จะเรียกหน่วยราชการเข้ามา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ ผู้ว่าฯ มาเช็คข้อมูลซ้ำอีกที...
...จังหวะ ๓ จะทรงเรียกหน่วยปฏิบัติขึ้นมา ส่วนมากก็จะเป็นเรื่องน้ำ ... เรียกกรมชลฯ มาว่าตรงนี้ site ตรงนั้นเหมาะหรือไม่...
...ยกสุดท้ายจะเป็นผม (ดร.สุเมธ)... จะเรียกพวกเรา (หมายถึง กปร.) เข้าไปยืน ... พระองค์จะทรางวาดภาพวิสัยทัศน์ในบริเวณนั้นให้ดูทั้งหมดว่า... เมื่อมีน้ำมาแล้ว ชาวบ้านควรจะปลูกพืชพันธุ์อะไร เมื่อปลูกพืชถั่วเขียวเสร็จแล้วควรจะมีเครื่องทำวุ้นเส้นเล็ก ๆ ไหม ทรงวาดภาพโดยละเอียด....
... เมื่อวาดภาพอะไรเสร็จแล้วนั้น เอาจะเข้าไปถึง ๑ ทุ่ม ๒ ทุ่ม แล้วก็ ๓ ทุ่ม บ่อยครั้งมากที่ต้องยืนอยู่กลางป่า ตัวแมลงบินว่อนไปหมด มาเล่นแสงไฟฉาย มาตอมพระพักตร์เต็มไปหมด
ทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำที่สุด
ในหลวงจะทรงมีพระอัจฉริยะเรื่องน้ำ เชี่ยวชาญเรื่องน้ำอย่างยิ่ง ทรงสามารถใช้เวลาเพียง ๒-๓ นาที บนแผนที่ แล้วบอกได้ทันทีว่าจะสร้างเขื่อนตรงไหน และบอกได้ด้วยว่า ถ้าสร้างเสร็จน้ำจะท่วมจากตรงไหนไปถึงตรงไหน ระบายเป็นสีน้ำเงินออกมาให้ได้ทันที ....
ทรงมีพระราชดำริที่เรียบง่าย (แต่ลุ่มลึกเป็นองค์รวมที่สุด)
...เหนือน้ำขึ้นไปควรจะปลูกป่าเพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำ... การปลูกป่าพวกเรามักไปปลูกแต่เชิงเขาหรือตีนเขา ทรงแนะว่า ให้ทนเหนื่อยหน่อย เอาเมล็ดปีนขึ้นไปปลูกบนยอดเขา เมื่อต้นไม้ชนิดใดมีผัก หล่นลงมา กระจายตามลมมา ก็จะไหลไปสุ่ตีนเขาได้...
...ครั้งหนึ่ง มีวัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดสกลนคร มีถานพระ (ส้วมพระ) ยาวเหยียด พระท่านก็เก่ง ต่อท่อเอามาทำแก๊สใช้ในครัว... ในหลวงทรงรับสั่งว่า พระคุณเจ้าเห็นธรรมะหรือยัง? ... เห็นไหมนี่ในถานนี้เราถ่ายสิ่งสกปรกลงไป ถือว่าเป็นอธรรมใช่หรือเปล่า ... อยู่ในถังยังบูดยั่งเน่าก็ถือว่ายังเป็นอธรรม ... แต่เมื่อแปรสภาพไปเป็นแก๊สหุงต้มในครัว นี่ถือเป็นเป็นธรรมะ...
...คลองมักกะสัน พื้นที่ประมาณ ๑๐๓ ไร่ ยาว ๑ กิโลเมตร มีปัญหาน้ำเน่าเหม็น ลงไปในเรือเกือบเป็นลมคาเรือ...น้ำเสียจากบึงจะไหลลงคลองลาดพร้าวต่อไป ทรงรับสั่งว่าต้องกั้นไว้และบำบัดน้ำเสียก่อนที่จะส่งไป ฝรั่งเขาว่าต้องใช้งบประมาณในการบำบัดน้ำเสียประมาณ ๒๐๐ ล้าน ทรงบอกว่าไม่กี่แสนก็บำบัดได้ "..ฉันจะเอาอธรรมสู้กับอธรรมให้มันออกมาเป็นธรรมะให้ได้.."
ทรงให้นำผักตบไมวิจัยพบว่า ทุก ๔๐ วัน ผักตบชวาจะขยายตัวเป็น ๓ เท่าตัว ทรงรับสั่งให้นำไม้ไผ่ทำเป็นคอกกั้นผักตบชวาไว้เป็นแนว ๆ แล้วดึงตนแก่ออกจำนวนหนึ่งทุก ๔๐ วัน ผักตบชวาที่งอกใหม่จะดูดซับเอาโลหะหนักซึ่งเป็นตัวการของการเน่าเสียของน้ำ ผักตบที่ดึงขึ้นให้เอาไปหมักสลายเป็นปุ๋ยสำหรับไม้ยืนต้นได้ (ไม่ใส่ผัก) ....
(จบตอนที่ ๑ ครับ)
วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559
บรรยายพิเศษของโค้ชเดี่ยว อาจารย์ธรรมศักดิ์ อรชุนวงศ์ และทีม (๒)
จับประเด็นต่อจาก บันทึก (๑) ที่นี่ครับ
ในบันทึกแรกอาจารย์ธรรมศักดิ์ (โค้ชเดี่ยว) เน้นว่า ถ้าหากเราจะทำ "STARTUP" หรือเปิด "บริษัทใหม่ในยุคดิจิทัล" สิ่งแรกที่ต้องทำคือ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้อง "รู้จักคน" ก่อน เมื่อกลุ่มเป้าหมายชัดเจนแล้ว ให้เอาปัญหาของกลุ่มเป้าหมายมาเป็นปัญหาของเรา จากนั้นก็ใส่ไอเดียใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหานั้นเข้าไป หรือคือต้องใส่ความคิดเจ๋ง ๆ ของเราเข้าไป คือต้อง "รู้จักคิด" และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ "รู้จักทำ" และนำเสนอด้วยการเชิญผู้ประสบสำเร็จในการทำ "STARTUP" ในเมืองไทย ๓ ท่าน ดังนี้
บริษัท Think Technology Ltd.
อันดับหนึ่งของประเทศไทยด้าน Virtual Reality (สร้างสื่อเสมือนจริง) เป็น "STARTUP" ระดับเอเชีย คุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุล เจ้าของผลงานผสานซ้อนระหว่างโลกดิจิตอลกับโลกจริงโดยการมองผ่านกล้องและ ออกมาในรูปแบบหนังสือ AR หรือ Augmented Reality Book (AR Book) หรือบางท่านเรียก "หนังสืออัจฉริยะ"
ท่านใดอยากรู้จักคุณอภิชัย อย่างละเอียดคลิกอ่าน "ชีวิต 3 มิติ อภิชัย เรืองศิริปิยะกุล" นิสิตยสารโพสิชั่นนิ่ง ที่นี่ครับ ส่วนใครยังไม่รู้จัก AR Book ลองดูคลิปด้านล่างนี้ครับ
ปกติเปิดหนังสือทั่วไปเราจะเห็นเป็นภาพ ๒ มิติ แม้จะมีสีสวยงามอย่างไรก็ไม่สามารถจะเห็นเป็นตัวลุกขึ้นยืนได้ ต่อมามีการทำหนังสือป๊อปอัพ (pop-up) ทำให้ตัวละครต่าง ๆ ในหนังสือ เหมือนจะดูลุกขึ้นมายืนได้ สร้างความสนใจให้กับเด็ก ๆ มากขึ้น ใน AR Book ไม่เพียงแต่ลูกขึ้นยืน ตัวละครยังลุกขึ้นมาเดินและแสดงท่าทางต่าง ๆ ให้เห็นได้ตามที่เจ้าของหนังสือต้องการ เพียงแต่ลง Apps ที่กำหนดในมือหรือแทปเล็ต แล้วส่งไปยังภาพในหนังสือ Apps จะจำรูปในหนังสือ แล้วเรียกตัวละครจากโแกรมออกมาเดินให้ดู ... ผลก็คือ เด็ก ๆ จะชอบมาก เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ดีขึ้น ...
คุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุล เรียนจบปริญญาตรีด้านการเกษตร แต่ก้าวตามความชอบ ความสนุก และความสุขของตนเอง มาประสบความสำเร็จกับการพัฒนาซอฟแวร์ ผลงานเล่มแรก (ต้องเรียกว่าเป็นเล่มแรกของหนังสือ AR ในไทย) คือ Thai Dinosaurs AR Book
"... ผมไม่ได้จบทางด้านไอที ผมจบทางเกษตรศาสตร์ ผมเรียนสัตวศาสตร์ ผมจบตอนหมู ผมเลี้ยงวัวนม วันดีคืนดีก็ผันตัวเองมาเป็นโปรแกรมเมอร์ ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง ... เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเราทำทุกอย่าง ทำจับฉ่าย แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด กลายเป็นจุด จุด ... ที่ต่อกันเป็นผมในวันนี้ วันที่ผมมาเป็นนัก cross สิ่งต่าร ๆ ให้กลายมาเป็นนวัตกรรม..."
คุณอภิชัยเริ่มทำ AR Book ตั้งแต่ปี 2008 ในปี 2011 เริ่มสร้างสิ่งหนึ่งจากแรงบันดาลใจจาก "กำแพงวัด" โดยเอา "ช้าง" กับ "สิงห์" มาทำเป็นหนังสือ ถือเป็นหนังสือเล่มแรกของคุณอภิชัย ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมดราว ๆ ๒๐ ปก ๆ ละ ประมาณแสนก๊อปปี้ ๆ ๒๐๐ บาท ( ๒๐ คูณ ๑๐๐,๐๐๐ คูณ ๒๐๐ เท่ากับ ๔๐๐ ล้านบาท) มีมูลค่าการตลาดสูงมาก ตอนนี้คุณอภิชัยกลับพัฒนาต่อไป ด้วยเทคนิคการ "cross" หรืออาจเรียกว่าผสมข้ามสายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ จนเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อีก
ตอนท้าย ผู้ชมถามคุณอภิชัยว่า มีอะไรเป็นแรงใจในยามท้อแท้ในการทำงาน ท่านตอบว่า ทุกครั้งที่ท้อแท้ จะนึกบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเทอม ... ต้องดิ้นรน ทำเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ครอบครัวคือแรงบันดาลใจสำคัญของการทำงาน
Jump Space ขอนแก่น Co-working Space แห่งภาคอีสาน
วิทยากรท่านที่ ๓ คือ คุณอัจฉริยะ ดาโรจน์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Jump Space ขอนแก่น Co-working Space แห่งแรกของภาคอีสาน คล้ายกับ HUBBA ที่กรุงเทพฯ โตะลาว (TOH-LAO) ที่ลาว และ Smallworld ที่กัมพูชา อ่านรายละเอียดบางส่วนของ Jump Space ได้ที่นี่ครับ
เป็นความสำเร็จระดับประเทศ ในการสร้างพื้นที่ให้คนทำงานและสนใจสตาร์ทอัพเข้ามาร่วมกันคิดและทำ สร้างพื้นที่ให้ใครที่มีไอเดีย มานั่งทำงาน สร้างชุมชนที่เป็นนักคิดนักประดิษฐ์ พื้นที่ ๆ ในการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับท้องถิ่น เป็นพื้นที่สำหรับหาเพื่อน หาพันธมิตร และทดลองไอ้เดียว่าใช้ได้ไหม
Jump Space จะเป็นที่รวมของนักคิด นักประดิษฐ์ นักทำงาน นักลงทุน นักธุรกิจ เกิดชุมชนนักปฏิบัติ เกิดชุมชนนักรบธุรกิจ
อุปถัมภ์ ศิริไชย เจ้าของโกดังศรีสมัยค้าส่ง ยะลา
".... ถ้าคนยะลา ไม่ช่วยยะลา แล้วใครจะช่วยยะลา ...." คือคำพูดประโยคแรกในการบรรยายของคุณอุปถัมภ์ ศิริไชย (คุณแกะ) ... ตอนท้ายของการเสวนา โค้ชเดี่ยวมอบให้วิทยากรแต่ละท่านฝากอะไรให้กับผู้ฟังครั้งสุดท้ายก่อนจบ คุณแก่บอกว่า "...อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในการทำความดีนะครับ แล้วตอบแทนบุญคุณบ้านเกิดนะครับ" ... ผมอึ้งไปเลย ในใจได้แต่คิดว่า ทำไมเราจึงไม่สามารถจัดการให้นิสิตเข้ามาฟังชายคนนี้พูดได้นะ
คุณอุปถัมภ์ เป็นทายาทผู้กลับมารับช่วงธุรกิจครอบคร้วต่ออย่างไม่เต็มใจนักในช่วงแรก หลังจากสำเร็จ ป.โท จากอเมริกา ฝึกงานทั้งในร้านอาจารย์ไทย จีน และทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ ๕ ปี (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่) แต่ตอนหลังเมื่อต้องเจออุปสรรคมากมาย ธุรกิจการค้าส่ง ค้าปลีก โรงแรม และสถานบันเทิง ถูกรอบทำลายจากผู้ก่อความไม่สงบกว่า ๔๐ ครั้งตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ โดยเฉพาะครั้งที่ร้ายแรงที่สุด เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๗ ที่โกดังศรีสมัยเสียหายกว่า ๑๐๐ ล้านบาท (อ่านได้ที่นี่) แต่แทนที่คุณแกะจะท้อถอยไปเหมือนใครหลายคน แต่เขากลับลุกขึ้นมาต่อสู้และประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง และริเริ่มโครงการส่งเสริมเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้เชื่อมั่นในการทำความดีเพื่อบ้านเกิดของตนเอง
คุณแกะในฐานะประธาน YEC (Young Entrepreneurs Chamber of Commerce) ของจังหวัดยะลา ร่วมกับเพื่อน ๆ (โค้ชเดี่ยวและทีม) ทำโครงการ "จุดประกายความคิดผู้ประกอบการชีวิต" เพื่อช่วยเหลือน้อง ๆ นิสิตนักศึกษาในเขตพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจ และส่งเสริมความรักท้องถิ่น โดยตระเวนไปทั่วพื้นที่กับโค้ชเดี่ยวและคุณโอ้เสกสรร ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีฟังกว่า ๓,๐๐๐ คน และมีเสียงเรียกร้องว่า ยังมีน้อง ๆ ที่ยังไม่ได้รับโอกาสอีกเยอะ จึงเกิดโครงการต่อมาที่เรียกว่า "คนยะลา" ที่มุ่งช่วยเหลือน้อง ๆ ที่ขาดโอกาสในพื้นที่จังหวัดยะลา โดยเฉพาะ "ลูกเหลียง" หรือลูกของคนที่ถูกผู้ก่อการร้ายฆ่าตาย
"
หากน้องนักศึกษาจะมาทำ "STARTUP" จะต้องทำอย่างไร?
โค้ชเดี่ยวตั้งคำถามกับวิทยากรทั้งสามท่านว่า หากน้องนักศึกษาผู้ฟังในวันนั้นสนใจและต้องการจะมาทำ "STARTUP" ควรจะทำอย่างไร ต่อไปนี้คือคำตอบโดยรวมครับ
ในบันทึกแรกอาจารย์ธรรมศักดิ์ (โค้ชเดี่ยว) เน้นว่า ถ้าหากเราจะทำ "STARTUP" หรือเปิด "บริษัทใหม่ในยุคดิจิทัล" สิ่งแรกที่ต้องทำคือ กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งต้อง "รู้จักคน" ก่อน เมื่อกลุ่มเป้าหมายชัดเจนแล้ว ให้เอาปัญหาของกลุ่มเป้าหมายมาเป็นปัญหาของเรา จากนั้นก็ใส่ไอเดียใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหานั้นเข้าไป หรือคือต้องใส่ความคิดเจ๋ง ๆ ของเราเข้าไป คือต้อง "รู้จักคิด" และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ "รู้จักทำ" และนำเสนอด้วยการเชิญผู้ประสบสำเร็จในการทำ "STARTUP" ในเมืองไทย ๓ ท่าน ดังนี้
บริษัท Think Technology Ltd.
อันดับหนึ่งของประเทศไทยด้าน Virtual Reality (สร้างสื่อเสมือนจริง) เป็น "STARTUP" ระดับเอเชีย คุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุล เจ้าของผลงานผสานซ้อนระหว่างโลกดิจิตอลกับโลกจริงโดยการมองผ่านกล้องและ ออกมาในรูปแบบหนังสือ AR หรือ Augmented Reality Book (AR Book) หรือบางท่านเรียก "หนังสืออัจฉริยะ"
ท่านใดอยากรู้จักคุณอภิชัย อย่างละเอียดคลิกอ่าน "ชีวิต 3 มิติ อภิชัย เรืองศิริปิยะกุล" นิสิตยสารโพสิชั่นนิ่ง ที่นี่ครับ ส่วนใครยังไม่รู้จัก AR Book ลองดูคลิปด้านล่างนี้ครับ
ปกติเปิดหนังสือทั่วไปเราจะเห็นเป็นภาพ ๒ มิติ แม้จะมีสีสวยงามอย่างไรก็ไม่สามารถจะเห็นเป็นตัวลุกขึ้นยืนได้ ต่อมามีการทำหนังสือป๊อปอัพ (pop-up) ทำให้ตัวละครต่าง ๆ ในหนังสือ เหมือนจะดูลุกขึ้นมายืนได้ สร้างความสนใจให้กับเด็ก ๆ มากขึ้น ใน AR Book ไม่เพียงแต่ลูกขึ้นยืน ตัวละครยังลุกขึ้นมาเดินและแสดงท่าทางต่าง ๆ ให้เห็นได้ตามที่เจ้าของหนังสือต้องการ เพียงแต่ลง Apps ที่กำหนดในมือหรือแทปเล็ต แล้วส่งไปยังภาพในหนังสือ Apps จะจำรูปในหนังสือ แล้วเรียกตัวละครจากโแกรมออกมาเดินให้ดู ... ผลก็คือ เด็ก ๆ จะชอบมาก เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้ดีขึ้น ...
คุณอภิชัย เรืองศิริปิยะกุล เรียนจบปริญญาตรีด้านการเกษตร แต่ก้าวตามความชอบ ความสนุก และความสุขของตนเอง มาประสบความสำเร็จกับการพัฒนาซอฟแวร์ ผลงานเล่มแรก (ต้องเรียกว่าเป็นเล่มแรกของหนังสือ AR ในไทย) คือ Thai Dinosaurs AR Book
"... ผมไม่ได้จบทางด้านไอที ผมจบทางเกษตรศาสตร์ ผมเรียนสัตวศาสตร์ ผมจบตอนหมู ผมเลี้ยงวัวนม วันดีคืนดีก็ผันตัวเองมาเป็นโปรแกรมเมอร์ ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเอง ... เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเราทำทุกอย่าง ทำจับฉ่าย แต่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด กลายเป็นจุด จุด ... ที่ต่อกันเป็นผมในวันนี้ วันที่ผมมาเป็นนัก cross สิ่งต่าร ๆ ให้กลายมาเป็นนวัตกรรม..."
คุณอภิชัยเริ่มทำ AR Book ตั้งแต่ปี 2008 ในปี 2011 เริ่มสร้างสิ่งหนึ่งจากแรงบันดาลใจจาก "กำแพงวัด" โดยเอา "ช้าง" กับ "สิงห์" มาทำเป็นหนังสือ ถือเป็นหนังสือเล่มแรกของคุณอภิชัย ปัจจุบันหนังสือเล่มนี้มีทั้งหมดราว ๆ ๒๐ ปก ๆ ละ ประมาณแสนก๊อปปี้ ๆ ๒๐๐ บาท ( ๒๐ คูณ ๑๐๐,๐๐๐ คูณ ๒๐๐ เท่ากับ ๔๐๐ ล้านบาท) มีมูลค่าการตลาดสูงมาก ตอนนี้คุณอภิชัยกลับพัฒนาต่อไป ด้วยเทคนิคการ "cross" หรืออาจเรียกว่าผสมข้ามสายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ จนเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อีก
ตอนท้าย ผู้ชมถามคุณอภิชัยว่า มีอะไรเป็นแรงใจในยามท้อแท้ในการทำงาน ท่านตอบว่า ทุกครั้งที่ท้อแท้ จะนึกบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเทอม ... ต้องดิ้นรน ทำเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวมีความสุข ครอบครัวคือแรงบันดาลใจสำคัญของการทำงาน
Jump Space ขอนแก่น Co-working Space แห่งภาคอีสาน
วิทยากรท่านที่ ๓ คือ คุณอัจฉริยะ ดาโรจน์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Jump Space ขอนแก่น Co-working Space แห่งแรกของภาคอีสาน คล้ายกับ HUBBA ที่กรุงเทพฯ โตะลาว (TOH-LAO) ที่ลาว และ Smallworld ที่กัมพูชา อ่านรายละเอียดบางส่วนของ Jump Space ได้ที่นี่ครับ
เป็นความสำเร็จระดับประเทศ ในการสร้างพื้นที่ให้คนทำงานและสนใจสตาร์ทอัพเข้ามาร่วมกันคิดและทำ สร้างพื้นที่ให้ใครที่มีไอเดีย มานั่งทำงาน สร้างชุมชนที่เป็นนักคิดนักประดิษฐ์ พื้นที่ ๆ ในการถ่ายทอดหรือแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับท้องถิ่น เป็นพื้นที่สำหรับหาเพื่อน หาพันธมิตร และทดลองไอ้เดียว่าใช้ได้ไหม
Jump Space จะเป็นที่รวมของนักคิด นักประดิษฐ์ นักทำงาน นักลงทุน นักธุรกิจ เกิดชุมชนนักปฏิบัติ เกิดชุมชนนักรบธุรกิจ
อุปถัมภ์ ศิริไชย เจ้าของโกดังศรีสมัยค้าส่ง ยะลา
".... ถ้าคนยะลา ไม่ช่วยยะลา แล้วใครจะช่วยยะลา ...." คือคำพูดประโยคแรกในการบรรยายของคุณอุปถัมภ์ ศิริไชย (คุณแกะ) ... ตอนท้ายของการเสวนา โค้ชเดี่ยวมอบให้วิทยากรแต่ละท่านฝากอะไรให้กับผู้ฟังครั้งสุดท้ายก่อนจบ คุณแก่บอกว่า "...อยากให้ทุกคนเชื่อมั่นในการทำความดีนะครับ แล้วตอบแทนบุญคุณบ้านเกิดนะครับ" ... ผมอึ้งไปเลย ในใจได้แต่คิดว่า ทำไมเราจึงไม่สามารถจัดการให้นิสิตเข้ามาฟังชายคนนี้พูดได้นะ
คุณอุปถัมภ์ เป็นทายาทผู้กลับมารับช่วงธุรกิจครอบคร้วต่ออย่างไม่เต็มใจนักในช่วงแรก หลังจากสำเร็จ ป.โท จากอเมริกา ฝึกงานทั้งในร้านอาจารย์ไทย จีน และทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ ๕ ปี (อ่านรายละเอียดได้ที่นี่) แต่ตอนหลังเมื่อต้องเจออุปสรรคมากมาย ธุรกิจการค้าส่ง ค้าปลีก โรงแรม และสถานบันเทิง ถูกรอบทำลายจากผู้ก่อความไม่สงบกว่า ๔๐ ครั้งตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ โดยเฉพาะครั้งที่ร้ายแรงที่สุด เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๗ ที่โกดังศรีสมัยเสียหายกว่า ๑๐๐ ล้านบาท (อ่านได้ที่นี่) แต่แทนที่คุณแกะจะท้อถอยไปเหมือนใครหลายคน แต่เขากลับลุกขึ้นมาต่อสู้และประสบความสำเร็จได้อีกครั้ง และริเริ่มโครงการส่งเสริมเยาวชนคนรุ่นใหม่ ให้เชื่อมั่นในการทำความดีเพื่อบ้านเกิดของตนเอง
คุณแกะในฐานะประธาน YEC (Young Entrepreneurs Chamber of Commerce) ของจังหวัดยะลา ร่วมกับเพื่อน ๆ (โค้ชเดี่ยวและทีม) ทำโครงการ "จุดประกายความคิดผู้ประกอบการชีวิต" เพื่อช่วยเหลือน้อง ๆ นิสิตนักศึกษาในเขตพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ มีความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจ และส่งเสริมความรักท้องถิ่น โดยตระเวนไปทั่วพื้นที่กับโค้ชเดี่ยวและคุณโอ้เสกสรร ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีฟังกว่า ๓,๐๐๐ คน และมีเสียงเรียกร้องว่า ยังมีน้อง ๆ ที่ยังไม่ได้รับโอกาสอีกเยอะ จึงเกิดโครงการต่อมาที่เรียกว่า "คนยะลา" ที่มุ่งช่วยเหลือน้อง ๆ ที่ขาดโอกาสในพื้นที่จังหวัดยะลา โดยเฉพาะ "ลูกเหลียง" หรือลูกของคนที่ถูกผู้ก่อการร้ายฆ่าตาย
"
หากน้องนักศึกษาจะมาทำ "STARTUP" จะต้องทำอย่างไร?
โค้ชเดี่ยวตั้งคำถามกับวิทยากรทั้งสามท่านว่า หากน้องนักศึกษาผู้ฟังในวันนั้นสนใจและต้องการจะมาทำ "STARTUP" ควรจะทำอย่างไร ต่อไปนี้คือคำตอบโดยรวมครับ
- ไม่มีใครเก่งทุกอย่าง ในยุคนี้ต้องหาทีม เราต้องหาพันธมิตรครับ หาเพื่อน
- หานักคิด นักการตลาด ... พวกนี้จะชอบสังเกต และตั้งคำถาม
- หานักผลิต นักทำ เช่น โปรแกรมเมอร์ นักประดิษฐ์ ฯลฯ
- นักออกแบบ เข้าใจลูกค้า และมีทักษะการสื่อสารกับลูกค้าที่ดี
- ต้องมีความมุ่งมั่นกับสิ่งที่คุณเลือก ... คุณต้องล้มให้เร็วที่สุด และเรียนรู้จากความสำเร็จนั้น เพื่อเติบโต
- แต่ก่อนความสนใจจะไปอยู่ที่ผู้ผลิต แต่ในยุคนี้ ความสนใจทั้งหมดมาอยู่ที่ลูกค้าทั้งหมด เฟสบุ๊ค กูเกิล ล้วนแล้วแต่มีระบบติดตามลูกค้าทั้งหมด ... ดังนั้น คุณต้องมีวิธีการสื่อสารที่ดีกับลูกค้า
วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559
บรรยายพิเศษของโค้ชเดี่ยว อาจารย์ธรรมศักดิ์ อรชุนวงศ์ และทีม (๑)
วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙ มีบรรยายพิเศษเรื่อง " STARTUP จุดประกายความคิดการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการธุรกิจแบบใหม่ในยุคดิจิทัล" ผมจับประเด็นสำคัญ ๆ ได้ดังนี้ครับ
- จีนกำลังจะเป็นมหาอำนาจของโลกในอีก ๔-๕ ปี ปี 2020 นี้เอง เพราะประชากรจำนวนมาก กว่า ๑,๒๐๐ ล้านคน
- ถ้าเราจะแข่งกับจีน เราจะแข่งได้ไหม?
- รู้ใหมว่า สินค้าที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มากกว่า ๙๕%
- จีนกำลังจะมาต่อมาขายตรงในไทย ทุกวันนี้เราสามารถสั่งซื้อสิ่งต่าง ๆ ได้หมดแล้ว
- แล้วเราควรจะรู้อะไร? ถึงจะสามารถสู้ได้ จะสร้างบริษัท เปิดบริษัทใหม่ จะต้องรู้อะไร?
- รู้จักคน ต้องรู้จักคนก่อน
- คนไทย หลงดารา ชอบเกาหลี งมงาย (ตุ๊กตาเทพ) ชอบตลก (ชอบเทพพิทักษ์) ชอบของฟรี รักและลืมง่าย อยากรวยฉับพลัน รักสนุก เชียร์มวยรอง ปากไม่ตรงกับใจ อุปทานหมู่ รับรู้ข้อมูลแบบฉาบฉวย .... อย่างไรก็แล้วแต่ แต่คนไทยรักในหลวงที่สุด
- คนไทยแต่ละภาค นิสัยไม่เหมือนกัน
- ภาคเหนือ เรียบร้อย พูดน้อย พูดช้า ๆ เพราะ ฟังเพลงเหนือ
- ภาคใต้ เป็นคนแรง เร็ว ใจกล้า
- ภาคอีสาน รักสนุก กตัญญู รักพี่น้อง
- ปัจจุบันคนมีลูกน้อยลง อัตราการหย่าร้างสูงมาก เศร้าซึมสูงมาก อัตราการฆ่าตัวตายสูงมาก อยู่ด้วยกันก่อนแต่งเยอะ สโลเแกนคือ....โสดอย่างกล้าหาญ ขึ้นคานอย่างทรนง หรือ... เก่งอย่างมีคุณค่า ชราอย่างลับ ๆ ...ฮา
- ในทางสถิติผู้หญิงมี ๓๓ % ผู้ชายมี ๓๒ %
- แต่สมมติว่า ในประเทศไทยมีผู้ชาย ๕ คน ๑ คนเป็นคนแก่ มีอายุ ๕๕ ปี ขึ้นไป อีก ๑ คนเป็นเด็ก ไม่อยู่ในวัยเจริญพัมธุ์ อีก ๑ คน เป็นคนไม่ดีเป็นโจรบ้างถูกจำคุกบ้าง เจ็บป่วยบ้าง เป็นต้น เหลือสองคนหนึ่ง ๑ คนจะเป็นคนในกลุ่ม LGBT (Lesbian, Gay, Bisexual, and Tran-gender)
นั่นหมายความว่าจะมีเพียง ๑ ในห้าของผู้ชายเท่านั้นที่อยู่ในวัยเจริญพันธ์ุ ... กลุ่มเป้าหมายต้องชัดว่าสินค้าเราจะขายให้ใคร - สรุปแล้วอัตราเฉลี่ยของผู้หญิงต่อผู้ชายจะเป็น ๔ ต่อ ๑ ...ฮา แต่ถ้าเลือกเอาหน้าตาดี การศึกษาดี จะอยู่ที่ ๒๐ ต่อ ๑ เลยทีเดียว...ฮา
- ตอนนี้ใน Facebook เปิดให้สามารถเข้าไปเปลี่ยนเพศเป็น LGBT แล้วนะ...
- ยกตัวอย่างเช่น ... ลองดูตัวอย่างกาแฟเนเจอร์กิฟ ด้านล่างนี้ ... คิดว่าเขาจะขายให้ใคร?...
- บางทีเขาเรียกกลุ่ม LGBT ว่า SPORNOSEXUAL คือกลุ่มที่ชอบเล่นกีฬา ชอบออกกำลังกาย ชอบโชว์เรือนร่าง ชอบเล่นกล้าม รอยสัก
- งานวิจัยบอกว่า ถ้ามีกลุ่ม SPORNOSEXUAL เดินมาสี่คน ๑ คนจะเป็น G อีกคนจะเป็น B อีกสองคนจะเป็น...ัว ของสองคนนี้อีกที...ฮา
- จะทำธุรกิจกับคนกลุ่มไหน ... เราต้องรู้ว่า เขาเป็นอย่างไร ....
- ในทางการตลาด เขาจะแบ่งคนออกเป็นรุ่น ๆ ด้วย เป็น Generation X, Y, Z
- คุณเป็นคนรุ่นใหม่คือ Generation Z คือโตมากับเทคโนโลยี
- ส่วนเจ้านายของคุณจะเป็น Generation Y เขาจะรู้เรื่องเทคโนโลยีเหมือนกัน แต่จะสู้ Gen Z ไม่ได้ แต่เขาจะรู้จักการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุคเก่าจนเข้ามาสู่ยุคใหม่ เป็นคนสมาธิสั้นเหมือนกัน ชอบทำอะไรหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน เพลงที่คน Gen Y ชอบมาก ๆ ก็เช่น บอดี้สแลมด์
- คน Gen Y จะชอบเลียนแบบ
- ส่วนคน Gen Z ภาษานักการตลาดจะเรียกว่า "เด็กแก่แดด" อยากได้อะไรง่าย ๆ อยากได้อะไรที่เป็นไปไม่ได้ อยากรวย อยากจบเร็ว ๆ อยากมีแฟนหล่อ ๆ เวลาชอบอะไรชอบทีละเยอะ ๆ ไม่เชื่อลองดูคลิปด้านล่าง ...ฮา
- การมองตลาดทุกวันนี้ เราต้องรู้จักว่า ทำไมต้องสร้างวงแบบนี้ขึ้นมา ทำไมวง Exo ต้องมี Exo-M Exo-K .... ???? ลงคิดดูซิ...
- คน Gen Z จะเลียนแบบแบบไร้สำนึก ... มีมุมมองเรื่องความรัก ความตายแปลก ๆ
- คน Gen Y กับคน Gen Z จะใช้คำแตกต่างกัน เวลามีความรัก หลงสาวก็จะหลงต่างกัน ทีท่าจะต่างกัน ดูคลิปสองเพลงต่อไปนี้
- การรู้จักคน ทำให้เราสามารถ "จับกลุ่มเป้าหมาย" ได้ชัดเจน .... การทำ "STARTUP" สิ่งแรกที่ต้องทำคือ จับกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้ชัด
- เมื่อมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ต่อไปคือ ให้จับที่ตัวปัญหา ... ไม่ใช่ปัญหาของเรา แต่เป็นปัญหาของลูกค้า ปัญหาของคนกลุ่มที่เรา "จับ"
- ปัญหาของเราไม่ใช่ปัญหาของลูกค้า แต่ปัญหาของลูกค้าคือปัญหาของเรา .... สุดยอด คมกริบ ดูคลิปครับ
- ต้องเข้าใจ "การสื่อสารการตลาด" ดังคลิปด้านบน ที่เพียงเปลี่ยนคำว่า "I'm blind please help." เป็นคำว่า "It's a beautiful day but I can't see it." ลูกค้าก็มาเพียบ....
- การทำ "STARTUP" ต้องรู้จักคิด ต้องคิดแบบ "Outside In" เท่านั้น ห้ามคิดแบบ "Inside Out"
- วิธีการเปิดใจลูกค้า ง่ายที่สุดคือ "ยิ้ม" ยิ้มไปเลย... การยิ้มให้แล้วเขาไม่ยิ้มตอบเป็นเรื่องปกติ
- เมื่อรู้จักคิดแล้วสุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ รู้จักทำ ...
"STARTUP จุดประกายความคิดการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการธุรกิจแบบใหม่ในยุคดิจิทัล" ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/616836
"STARTUP จุดประกายความคิดการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการธุรกิจแบบใหม่ในยุคดิจิทัล"..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/616836ก
"STARTUP จุดประกายความคิดการเริ่มต้นเป็นผู้ประกอบการธุรกิจแบบใหม่ในยุคดิจิทัล"..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/616836
วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559
อาชีพที่จะหายไปในปี 2020
ลองดูคลิปนี้ครับ
บรรณธิการหนุ่มน้อย รายงานว่า ข้อมูลที่เขาอ่านจาก นิตยสาร Geektime (http://www.geektime.com/) บอกว่า อุตสาหกรรม 12 ต่อไปนี้จะหายไป
เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราถนัดอะไร
บรรณธิการหนุ่มน้อย รายงานว่า ข้อมูลที่เขาอ่านจาก นิตยสาร Geektime (http://www.geektime.com/) บอกว่า อุตสาหกรรม 12 ต่อไปนี้จะหายไป
- บริการรถแท๊กซี่จะหายไป เพราะหลาย ๆ ประเทศ เริ่มมีการ "แท๊กซี่อูเบอร์" หรือระบบที่ตัดพ่อค้าค้นกลางออกไป
- บริการส่งจดหมายจะหายไป จะคงเหลือเฉพาะส่งของส่งพัสดุ
- กระดาษจะลดลงอย่างมาก และอาจจะใช้กระดาษน้อยลงมากๆ ... หมายถึง หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือสื่อสิ่งพิมพ์ จะต้องเปลี่ยนแปลง
- โทรศัพท์บ้าน ... ตอนนี้ไม่มีใครใช้แล้ว ....และโทรศัพท์ออฟฟิศด้วย
- โทรศัพท์มือถือแบบเก่าจะหายไป ... ต่อไปโทรศัพท์จะเป็นมากว่าโทรศัพท์ แต่เหมือนเป็นคอมพิวเตอร์ติดตัว
- บัตรเครดิตการ์ดจะหายไป ... ต่อไปคนจะใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือ
- โรงหนังน่าจะหายไป ... เพราะเทคโนโลยีไม่จำเป็นไปดูแล้ว
- อุปกรณ์เก็บข้อมูลจะหายไป เช่น ซีดี ดีวีดี ดิสก์ ... คนจะไปใช้ Cloud system กันหมด
- ประกันชีวิตจะหายไป รัฐบาลจะเข้ามาดูแลได้ทั้งหมด
- เคเบิ้ลทีวี จะหายไป
- กระเป๋าสตางค์ จะหายไป ไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว
- พนักงานฟาสฟู๊ดอาจจะหายไป
เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าเราถนัดอะไร
- ต้องสังเกตว่าตนเอง ชอบทำอะไร สนใจอะไร
- โทรศัพท์มือถือ เป็นอุปกรณ์ดูคนอื่น ไม่ค่อยทำให้ตนรู้จักตนเอง
- ทุกอย่างมีรากของกรรม จงค้นหาตนเองด้วยการทำอะไร สนใจอะไร ให้ทำจริงๆ
วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ไทยแลนด์ 4.0 การพัฒนาประเทศกับ ๒ จุดแข็ง เปลี่ยนแปลง ๓ มิติ ๔ แนวทางพัฒนา และ ๕ เทคโนโลยีกลุ่มเป้าหมาย
ช่วงต้นปีมานี้ คงไม่ใครไม่ได้ยินคำว่า "ไทยแลนด์ ๔.๐" บันทึกนี้ จะเขียนแบบสรุปความจากข้อมูลฑุติยภูมิ (ความรู้มือสอง) ที่สืบค้นจากข่าว และเอามาสังเคราะห์รวมให้จำง่ายขึ้น คิดว่าไม่น่าจะผิดลิขสิทธิ์ ใครนะครับ
สำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้เลยว่า "ประเทศไทย ๔.๐" คืออะไร
หากท่านใดยังไม่ได้ยินคำว่า ไทยแลนด์ 4.0 จริง ๆ แนะนำให้ดูคลิปนี้ก่อนครับ
สำหรับผู้ที่เคยรู้ แต่ยังไม่เข้าใจว่า การส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยในอีก ๒๐ ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?
เชิญเลยครับ .... ฟังคลิปสัมภาษณ์พิเศษผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ของประเทศไทย คือ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเข้าใจมากขึ้นครับ เชิญ
ท่านบอกว่า
ผมสรุปเองถึงความหมายของคำสำคัญ
โดยสรุป คือ.... มีคำสำคัญ ๓ คำที่ท่านควรจะเข้าใจ ได้แก่ "ประเทศไทย ๔.๐" "Startup" และ "Smart Enterprise" ผมสรุปสั้นดังนี้
จากข้อมูลฑุติยภูมิที่สืบค้น อ่านได้ที่นี่และที่นี่ และศึกษาจากคลิปวีดีโอข้างต้น และนำมาสังเคราะห์สรุป เกี่ยวกับแนวทางที่คาดว่า ประเทศไทยจะถูกขับเคลื่อนไป เผื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ดังนี้
"ผู้ใหญ่" บอกว่า ประเทศไทยมีจุดแข็ง ๒ ด้าน ๑ คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และ ๒ คือ ความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม ทำให้แนวทางในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุค "ประเทศไทย ๔.๐" ต่อไปต้องเน้น ๒ สองด้านนี้ มุ่งเปลี่ยนแปลง ๓ มิติ โดยใช้การพัฒนา ๔ แนวทาง และ ๕ เทคโนโลยีกลุ่มเป้าหมาย ... ดังแสดงในภาพ ... ซึ่งไม่จำเป็นต้องเขียนคำอธิบายใดๆ เพิ่มอีก
ผู้สนใจจะนำไปเล่าต่อ นำเสนอต่อ ก็เชิญเถิดครับ...... ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆ
วันนี้... ผมยังอยู่ในตำแหน่งงานที่น่าจะสามารถสร้างคนไว้สำหรับยุค "ประเทศไทย ๔.๐" เหมือนกับเพื่อน ๆ ครูอีกหลายคน ... ก็คงต้องพยายามสู้ต่อไปเท่าที่จะทำได้ ... แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ หากจะเตรียมคนไว้สำหรับยุค "ประเทศไทย ๕.๐" คุณครูจะทำอย่างไร?????
สำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้เลยว่า "ประเทศไทย ๔.๐" คืออะไร
หากท่านใดยังไม่ได้ยินคำว่า ไทยแลนด์ 4.0 จริง ๆ แนะนำให้ดูคลิปนี้ก่อนครับ
สำหรับผู้ที่เคยรู้ แต่ยังไม่เข้าใจว่า การส่งเสริมเศรษฐกิจของไทยในอีก ๒๐ ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?
เชิญเลยครับ .... ฟังคลิปสัมภาษณ์พิเศษผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ของประเทศไทย คือ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเข้าใจมากขึ้นครับ เชิญ
ท่านบอกว่า
- ประเทศไทยเคยเป็นประเทศที่ยากจน ซึ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยสินค้าเกษตร หรือเรียกว่า "ประเทศไทย ๑.๐"
- ตอนนี้ประเทศไทยจัดว่า เป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ซึ่งขับเคลื่อนด้วย "ประสิทธิภาพ" หรือ efficiency economy เรียกว่าเป็น "ประเทศไทย ๓.๐"
- ณ วันนี้ ไม่เปลี่ยนไม่ได้แล้ว เพราะสิ่งที่เรามีอยู่นั้น เราไม่ได้ผลิตสินค้าบนฐานความรู้ (Knowledge based) บนฐานนวัตกรรม (Innovation) หรือสินค้าที่เน้นความแตกต่างในการสร้างแบรนด์ในตัวสินค้า (Differentiate based, Brand )
- ภาคเอกชนต้องปรับเปลี่ยนตัวเองไปสู่ "ประเทศไทย ๔.๐"
- "ประเทศไทย ๔.๐" ก็คือ ประเทศไทยที่จะขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม หรือ Innovative Driven นั่นคือขับเคลื่อนด้วยสิ่งที่เรียกว่า "ความคิดสร้างสรรค์" หรือ Creativity นั่นเอง และสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ก็คือ "Startup"
- หากเราสามารถขับเคลื่อน "Startup" ได้ จะทำให้ประเทศไทยหลุด "กับดักประเทศผู้มีรายได้ปานกลาง" ไปได้
- ธุรกิจต่อไปนี้ อย่างน้อยจะต้องขับเคลื่อนไปด้วยองค์ประกอบดังต่อไปนี้
- Productive Growth Engine คือ ขับเคลื่อนด้วย "ผลิตภาพ" ด้วยนวัตกรรม
- Green Growth Engine คือ ต้องตอบโจทย์เรื่องความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- Inclusive Growth Engine คือ จะต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม เป็น Smart Enterprise (วิสาหกิจอัจฉริยะ...ผู้เขียน) ไม่ใช่ SMEs (Small and Medium Enterprises (วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง))
- โลกของธุรกิจแห่งอนาคต ไม่ใช่เรื่องที่ว่า ใครจะใหญ่หรือใครจะเล็ก แต่ขึ้นกับว่า ใครจะฉลาดกว่ากัน
- ธุรกิจในอนาคต จะต้องเป็น Value Based Business โดยคำนึงถึงสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
- Beyond Product ไม่ใช่แค่คิดเรื่องตัวสินค้า หรือความแตกต่างบนตัวสินค้าอีกต่อไป แต่ต้องมาเน้น Business Model อะไร คุณกำลังขายใคร สิ่งที่คุณทำมีคุณค่าอย่างไร และคุณจะต้องถักทอร่วมกันคนอื่นอย่างไร และจะต้องตอบให้ได้ว่า อะไรคือ Profit Model ของคุณ
- Service Economy ต้องก้าวไปสู่การบริการ คือต้องคิดถึงการผสมผสาน ระหว่างความต้องการและการบริการ สองส่วนนี้จะต้องติดกัน ไม่สามารถแยกจากกันได้ บางเรื่อง Service จะเป็นตัวนำแล้วค่อยตามมาด้วย Product เช่น เวลาเราไปโรงพยาบาล ฯลฯ
- Market คือ ตลาดของเรา อยากให้ผู้ที่จะทำธุรกิจทุกคน คิดถึงการลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะในอาเซียน กลุ่มประเทศ CLMV (ประเทศอาเซียนลุ่มน้ำโขง กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม) และให้มองเป็นเมือง มากกว่าจะมองเป็นประเทศ
- ธุรกิจใหม่นั้น ไม่ใช่เรื่องของการแข่งขันระดับชาติหรือประเทศ (Nation Competitiveness) อีกต่อไป แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเรื่องของ Enterprise Competitiveness คือ การทำให้ธุรกิจนั้นเข้มแข็ง ซึ่งต้องมีสิ่งต่อไปนี้
- Competitive คือ แข่งขันได้
- Collaborative คือ ร่วมมือกันได้
- Connect to the World คือ ต้องเชื่อมกับโลก ไม่ว่าจะผ่านตลาด Crystal Marketplace หรือ Digital Marketplace
- ธุรกิจในยุคใหม่นี้ แม้แต่นักวิชาการก็จะคาดเดาได้ยาก มองไม่ออก หรือที่เรียกกันว่า "New Normal" อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็หนี้ไม่พ้น ๓ สิ่งต่อไปนี้
- Custom Focus คือ รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร
- Competency คือ ต้องรู้ว่าตนเองเก่งอะไร
- Collaborative Network เนื่องจาก ธุรกิจแบบใหม่นั้น มองไปที่ Business Model ไม่ได้มองที่ตัวสินค้าดังที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้น เครือข่ายความร่วมมือจึงถึอว่าเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุด
- ธุรกิจสมัยใหม่ จะไม่ขึ้นอยู่กับการมาก่อนมาหลัง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินลงทุนมากน้อย แต่จะขึ้นอยู่บนฐาน Brain Based ล้วนๆ ใครที่จะทำธุรกิจนั้น ขอให้คุณเริ่มด้วย ไอเดีย และความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับว่า คุณสามารถทำให้ไอเดียนั้นเกิดขึ้นเป็นเรื่องเป็นราวได้แค่ไหน
- ตอนนี้รัฐบาลกำลังจัดตั้ง Thailand Startup Center ซึ่งจะรวบรวมเอาเงินลงทุนจากเอกชน ทำ่เรื่อง "Cloud funding" เรื่องของ "Angel Fund" เรื่องของ "Incubator" เรื่อง "Accelerator" ต่าง ๆ คือรัฐบาลกำลังจะส่งเสริมเรื่อง ผู้ประกอบการใหม่ หรือ Entrepreneur อย่างจริงจัง
- ซึ่งสังคมแห่ง Entrepreneur (อ่านว่า อ็อง เทอร์ เพอร์ นัวร์ ในภาษาฝรั่งเศส) นั้น คือ สังคมที่กล้าเสี่ยงเมื่อเห็นโอกาส และเก่งในการประเมินความเสี่ยง ความเก่ง และโอกาสของตนเอง
- ซี เค พราฮาราร์ด (C.K. Prahalad) ปรามาจารย์ด้านบริหารจัดการ ทิ้งท้ายไว้ก่อนเสียชีวิตว่า " the Future of competition is collaboration" ดังนั้น สิ่งที่ต้องมีในการทำธุรกิจในอนาคตคือ คุณต้อง
- Collaborative คือ ร่วมมือกับคนอื่น
- Open คือ เปิดเผย เปิดกว้าง
- Sharing คือ ต้องแบ่งปันกับคนอื่นด้วย
- เนื่องจาก มีเงินทุนที่พร้อมจะสนับสนุนไอเดียเจ๋ง มีเทคโนโลยีมากมากยที่พร้อมแล้ว การเข้าถึงตลาดก็ง่ายออนไลน์ได้หมด ดังนั้น คนยุคใหม่ ให้คิดว่า เมื่อไหร่มีไอเดีย เมื่อนั้นเขามีโอกาส และเขาสามารถรวยได้ ... หรือเรียกได้ว่า นี่คือ "สังคมแห่งโอกาส" ... พร้อมที่จะให้คนยุคใหม่นั้น "Startup" ธุรกิจของตนเอง
- กล่าวโดยสรุปคือ ใครที่จะ "Startup" จะต้องมี ๒ สิ่งต่อไปนี้คือ
- Entrepreneur spirit คือ มีจิตวิญญาณของผู้ประกอบการใหม่
- Innovative Idea คือ ต้องมีไอเดียที่เป็นนวัตกรรม
- สองสิ่งนี้รวมกันจะได้ Business model เมื่อมี Business Model เรื่องอื่น รัฐบาลกำลังหนุนเต็มที่
ผมสรุปเองถึงความหมายของคำสำคัญ
โดยสรุป คือ.... มีคำสำคัญ ๓ คำที่ท่านควรจะเข้าใจ ได้แก่ "ประเทศไทย ๔.๐" "Startup" และ "Smart Enterprise" ผมสรุปสั้นดังนี้
- "ประเทศไทย ๔.๐" หรือ " Thailand 4.0" คือ ประเทศไทยที่ก้าวสู่ประเทศผู้มีรายได้สูง ด้วย "ผลิตภาพ" (Productivity) บนฐานแห่งความรู้ นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งต้องผสานกับการบริการคุณค่าสูงบนฐานของวัฒนธรรม
- "Startup" คือ "ธุรกิจเกิดใหม่" หรือ "บริษัทเกิดใหม่" ที่เจ้าของ "ไอเดีย" ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุน มีเทคโนโลยี จะมีนักลงทุนซึ่งกำลังมองหาความสามารถและโอกาสเช่นกัน
- "Smart Enterprises" หรือ วิสาหกิจอัจฉริยะ คือ การร่วมมือ (Collaboration) การเปิดกว้าง (Open) ให้ผู้อื่นเข้ามาร่วมพัฒนา และ รวมถึงการแบ่งปัน (Sharing) กับลูกค้าและผู้อื่น โดยคำนึงถึงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
จากข้อมูลฑุติยภูมิที่สืบค้น อ่านได้ที่นี่และที่นี่ และศึกษาจากคลิปวีดีโอข้างต้น และนำมาสังเคราะห์สรุป เกี่ยวกับแนวทางที่คาดว่า ประเทศไทยจะถูกขับเคลื่อนไป เผื่อว่าจะมีประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย ดังนี้
"ผู้ใหญ่" บอกว่า ประเทศไทยมีจุดแข็ง ๒ ด้าน ๑ คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ และ ๒ คือ ความหลากหลายเชิงวัฒนธรรม ทำให้แนวทางในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ยุค "ประเทศไทย ๔.๐" ต่อไปต้องเน้น ๒ สองด้านนี้ มุ่งเปลี่ยนแปลง ๓ มิติ โดยใช้การพัฒนา ๔ แนวทาง และ ๕ เทคโนโลยีกลุ่มเป้าหมาย ... ดังแสดงในภาพ ... ซึ่งไม่จำเป็นต้องเขียนคำอธิบายใดๆ เพิ่มอีก
ผู้สนใจจะนำไปเล่าต่อ นำเสนอต่อ ก็เชิญเถิดครับ...... ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใดๆ
วันนี้... ผมยังอยู่ในตำแหน่งงานที่น่าจะสามารถสร้างคนไว้สำหรับยุค "ประเทศไทย ๔.๐" เหมือนกับเพื่อน ๆ ครูอีกหลายคน ... ก็คงต้องพยายามสู้ต่อไปเท่าที่จะทำได้ ... แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ หากจะเตรียมคนไว้สำหรับยุค "ประเทศไทย ๕.๐" คุณครูจะทำอย่างไร?????
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2559
จับประเด็น : เหลียวหลังแลหน้าการศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เหลียวหลัง
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ อดีตผู้อำนวยการสำนักศึกษาทั่วไป
- ๒๖ กันยายน ๒๕๕๑ สภามหาวิทยาลัยอนุมัติให้ท่านมาเป็นรักษาการเป็น ผู้ช่วยอธิการบดี และมาเป็น รักษาการ ผอ. ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ มารักษาการ และมาเป็น ผอ. ในเวลาต่อมา
- ภารกิจของสำนักศึกษาทั่วไป คือจัดการเรียนการสอนตามคำสั่ง สกอ. ๓๐ หน่วยกิต
- ตอนนั้นมีรายวิชาทั้งหมด ๑๖๑ รายวิชา สิ่งที่ทำขณะนั้นคือการจัดระบบรายวิชา จากแต่ละคณะวิชามารวมกัน มีอาจารย์จากคณะ-วิทยาลัยต่างๆ มาช่วยกันสอนรวมแล้ว ภาคเรียนละ ๓๐๐ ท่าน
- ตอนปี ๒๕๕๔ มีรายวิชาอยู่ ๑๑๔ และสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างเป็นระบบ รองรับนิสิตกว่า ๘ หมื่นที่นั่งต่อปีการศึกษา
- รูปแบบการศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยต่างๆ แตกต่างกันไป หลายมหาวิทยาลัยจัดไว้ที่คณะ-วิทยาลัย บางมหาวิทยาลัยจัดกลุ่มรายวิชาไว้ตรงกลาง ยังไม่มีรูปแบบสำเร็จใด ๆ แต่ละมหาวิทยาลัยต่างจัดการเรียนการสอนรายวิชาศึกษาทั่วไปในสไตล์ของตนเอง
- กองกิจการนิสิตเกี่ยวกับการศึกษาทั่วไปอย่างมาก เพราะเป้าหมายเดียวกันคือสร้างคนที่เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
- โลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โจทย์สำคัญคือ เราจะสอนอย่างไรให้เขามีความสุขได้ในการดำเนินชีวิต วิชาศึกษาทั่วไปจะทำอย่างไรให้นิสิตจากหลากหลายสาขา สามารถปรับตัวได้ในการเปลี่ยนแปลงนั้น
- วิชาศึกษาทั่วไป คือรายวิชาที่สำคัญที่สุด เป็นผู้รับผิดชอบในการสร้างนิสิตให้คุณลักษณะตามอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัย
- สำนักศึกษาทั่วไป มีหน้าที่เป็นผู้ประสาน ให้อาจารย์จากทุกสาขาวิชา มาร่วมกันสร้างเด็กที่มีทักษะที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต
- สำนักศึกษาทั่วไปและกองกิจการนิสิตต้องคิดร่วมกันว่า จะพัฒนานิสิตอย่างไร ให้ได้นิสิตที่มีคุณภาพให้กับสังคม ให้เขาสามารถอยู่ได้ดีในยุคนี้
- อาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป คือผู้เสียสละเพื่อพัฒนานิสิตจริง ๆ
- รายวิชาศึกษาทั่วไป แต่ก่อนเคยเป็นวิชาเลือก ต่อมา สกอ. ได้พัฒนาขึ้นมาเป็นรายวิชาศึกษาทั่วไป
- หลักสูตรทั้งหมดต้องการสร้างคนที่มีลักษณะ ๒ ประการ คือ สร้างคนดีและสร้างคนเก่ง เรื่องการสร้างคนเก่งนั้นเป็นหน้าที่ของสาขาวิชา แต่เรื่องการพัฒนาคนดีนั้น คือหน้าที่หลักของสำนักศึกษาทั่วไป
- ดังนั้นหน้าที่ของอาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป คือต้องสร้างคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ที่สามารถนำเอาทักษะวิชาชีพที่ได้เรียนจากสาขาวิชาไปพัฒนาสังคมได้
ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น
- อาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไปเป็นผู้มีคุณค่ามาก
- นิสิตต้องเป็นบุคคลที่มีทั้ง "มูลค่า" และ "คุณค่า"
- เป้าหมายของรายวิชาศึกษาทั่วไปคือ "มนุษย์ที่สมบูรณ์"
- อาจารย์ควรมองนิสิตเป็นเหมือนลูกเหมือนหลาน
- สิ่งสำคัญสำหรับนิสิตสมัยนี้คือ "ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑"
- การพัฒนานิสิตต้องเป็นไปตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) ๕ ด้าน
- ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ 3R4C มีทักษะการเรียนรู้ (อ่าน เขียน คิดเลข) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ สร้างสรรค์ และสามารถทำงานร่วมกันผู้อื่นได้
- รายวิชาศึกษาทั่วไป จะมีรายวิชาต่างๆ หลากหลาย แต่ละวิชาก็จะเติมเต็มคุณลักษณะตามกรอบ TQF ได้ครบถ้วน
- รายวิชาศึกษาทั่วไป คือวิชาที่จะสร้างรากฐานของคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิต
- การปรับหลักสูตร พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนานิสิตไปสู่เป้าหมาย การบูรณาการรายวิชาจาก ๑๑๔ รายวิชา ลงมาเหลือ ๓๒ รายวิชา (เลือกเรียน ๑๔ วิชาจาก ๒๐ วิชา และเลือกอีก ๑ วิชาจาก ๑๒ วิชาเลือกเพิ่มเติม) เพื่อให้นิสิตทุกคนได้เรียนรายวิชาในกลุ่มวิชาหลักคล้ายคลึงกัน จะสามารถสร้างนิสิตที่มีคุณลักษณะนิสิตที่พึงประสงค์ของหมวดวิชาศึกษาทั่วไปทั้ง ๙ ประการ (หลักสูตรเดิม นิสิตจะเลือกเรียนเฉพาะรายวิชาที่ตนต้องการเท่านั้น)
- กำหนดรายวิชาหนึ่งหลักสูตหนึ่งชุมชน เป็นรายวิชาบังคับเลือก ให้อาจารย์แต่ละหลักสูตรเข้ามาเป็นผู้ขับเคลื่อน บูรณาการกับโครงการหนึ่งหลักสูตรหนึ่งชุมชน คือ เอาหลักสูตรเป็นตัวตั้งในการบูรณาการการเรียนการสอนกับการบริการวิชาการสุ่ชุมชน
- GE จะเป็นผู้ประสานงาน ให้คณาจารย์และคณะ-วิทยาลัย เข้ามาร่วมกันพัฒนาร่วมกัน
- GE มีศูนย์ทดสอบ E-Testing และจะพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์สอบก่อนเข้าเรียน Entrance - Exit Exam และพัฒนาควบคู่ไปกับคลังข้อสอบ
- พัฒนาระบบบริหารจัดการให้เป็นไปอย่างมีส่วนร่วมมากขึ้น ให้ GE เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาที่ยึดหยุ่นต่อความต้องการของหลักสูตร ให้แต่ละคณะ-วิชาเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย โดยให้ GE เป็นผู้นำไปปฏิบัติ
- จะมีหลักสูตร Training อาจารย์ผู้สอน เพื่อเสริมศักยภาพการเรียนการสอนของอาจารย์
- GE จะมีหน้าที่ในการพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอน พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน ให้ทันสมัย เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ ๒๑
- ทำวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนและการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาศึกษาทั่วไป
- เรียนรายวิชาศึกษาทั่วไปได้เกรด A แต่พอตกตอนเย็น เดินเข้าร้านเหล้า ดื่มเหล้า เที่ยว ในสถานการณ์แบบนี้ เราจะทำอย่างไร เราสอนกันมาก แต่รอบ ๆ มหาวิทยาลัย มีร้านเหล้ารายรอบอยู่เต็มไปหมด เราจะทำอย่างไร?
- ฝากอาจารย์ทุกท่านให้สอนการดำเนินชีวิตให้กับนิสิตด้วย ช่วยสอนการใช้ชีวิตประจำวัน การใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ทำอย่างไรให้เอาตัวรอดได้ ทำอย่างไรให้นิสิตภาคภูมิใจในความเป็นตัวของตนเอง ไม่ลืมไม่ดูถูกรากเหง้าของตนเอง
- เด็กส่วนหนึ่งไม่มาเรียน เราจะทำอย่างไร เราจะทำอย่างไรให้นิสิตเราตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้
- ดังนั้นเรื่องศึกษาทั่วไปเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ใช่เฉพาะอาจารย์ผู้สอนรายวิชาศึกษาทั่วไป
- อาจารย์ต้องเป็น "แบบอย่างที่ดี" ให้กับเด็ก ขอให้อาจารย์ผู้สอนทุกท่านตั้งหลักให้ถูกต้องว่า เรากำลังทำเพื่อเด็ก เด็กของเราต้องรู้ว่า อะไรควรหยุด รู้ถึงความพอดีในการดำเนินชีวิต ขอให้ท่านทั้งหลายถ่ายทอดประสบการณ์ของท่านให้กับนิสิต สิ่งสำคัญคือเราต้องสร้างคนดีที่เก่ง ไม่ใช่คนเก่งที่ไม่ดี
- ฝากเรื่องวินัย เรื่องจราจร การใช้ถนน การจอดรถ ซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของนิสิต
- ฝากว่า... ทุกวิชามีความสำคัญ
- เด็กแต่ละคนแตกต่างกัน และเปลี่ยแปลงจากเดิมไปมาก ดังนั้น อาจารย์ผู้สอนมีความสำคัญมาก เพราะต้องออกแบบการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
- ควรสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ในการเรียนการสอนเสมอ โดยเฉพาะคุณธรรมพื้นฐาน เช่น พรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อิทธิบาท ๔ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ฯลฯ
- เด็กของเราอาจจะไม่เก่งเท่ากันทุกคน แต่ควรจะเป็นคนดีทุกคน
- ฝากเรื่องน้ำใจของเด็กสมัยนี้ ที่หายไปจากเดิมเยอะ
- การเรียนรู้สำคัญมาก รายวิชาศึกษาทั่วไป อาจไม่จำเป็นต้องเรียนในชั้นเรียนมากเกินไป ควรจะออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้นอกสถานที่บ้าง เพื่อปลูกฝังสิ่งที่สำคัญมากๆ ในสมัยนี้คือ public mind (จิตสาธารณะ)
- วันนี้ ๗ ปีนี้ เปรียบเหมือนการเดินทาง ๗ ก้าว หากมีความสำเร็จใด ๆ ก็ขอยกเป็นเครดิตของ อาจารย์ผู้สอนทุกท่าน
- GE ควรจะพัฒนาศูนย์สอบ E-Testing ต่อไป
- ขอขอบคุณทุกท่าน GE จะมุ่งมั่นทำงานต่อไป น้อมนำเอาสิ่งที่ท่านพูดวันนี้ไปทำ ให้เป็นมรรคผลให้จงได้
- GE จะเป็น GE ของพวกเราทุกคน
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559
จับประเด็น : ทำไม? ความพอเพียงจะทำให้ประเทศไทยอยู่รอด ตอนที่ ๓
- คนไทยสมัยนี้ มี "มายาคติ" เยอะมาก เนื่องจากคนไทยที่บริหารประเทศอยู่ตอนนี้ส่วนใหญ่ก็ไปเรียนเรื่องเหล่านี้มาจากอเมริกา ทำให้อิทธิพลทางความคิดของชนชั้นนำที่มีโอกาสได้ไปเรียนด้วยทุนการศึกษาจากต่างชาติ รวมทั้งทุน กพ. รับเอาแนวคิดมาขยาย ทำให้ประเทศค่อยๆ กลายเป็นตะวันตก
- การพัฒนาตามตะวันตก จะเริ่มด้วยการ "รับจ้างทำของ" ประเทศแรกเลยคือ ญี่ปุ่น เพราะค่าแรงถูก ต่อมาคือ ไต้หวัน มาฮ่องกง ไปที่มาเลเซีย มาไทย จากไทยไปเขมร ไปเวียดนาม ไปอินเดีย และต่อไปที่บังคลาเทศ
- อเมริกา จะควบคุมและสนใจอยู่ ๒ อย่าง หนึ่งคือการตลาด อีกอย่างคือการวิจัยพัฒนา R&D (หรือคุณภาพ) อเมริกันเป็นคนออกแบบแล้วจ้างผลิต ยกตัวอย่างเช่น รองเท้า NIKE ที่แต่ก่อนมาจ้างโรงงานในไทยผลิต จนต่อมาโรงงานในไทยนำเทคโนโลยีเดียวกันไปผลิตร้องเท้า PAN ทั่วโลกรู้จักแต่ NIKE แต่ไม่รู้จัก PAN .... เพราะอะไร?... เพราะอเมริกันจ้างโฆษณามหาศาล ยอมจ่ายเงินหลายล้านบาทเพื่อให้โลโก้ตัวเองติดบนหน้าออกเสื้อนักกีฬา
- บริษัท Apple ไม่มีโรงงานเป็นของตนเอง มาจ้างบริษัทไต้หวันชื่อ Foxconn และจีนผลิต
- ด้วยเหตุผลนี้ ตะวันตกจะสนใจเรื่องลิขสิทธิ์มากและป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์
- แต่ความที่คนญี่ปุ่นเป็นคนขยัน มีระเบียบวินัย ละเอียด และสร้างสรรค์ เมื่อทำได้ที่ก็เริ่ม "ทำของตนเองขึ้นมา" ทำให้ก้าวมาเป็นแนวหน้าได้
- จีนเมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว ที่ปักกิ่ง ที่พระราชวังต้องห้ามนั้น คนไม่มี แต่สมัยนี้คนเต็มไปหมด จะเห็นว่าโลกาภิวัตน์ทำให้อัตราการบริโภคเพิ่มขึ้นมหาศาล ดังนั้นทรัพยากรธรรมชาติ ก็ยังเป็นเป้าหมายของการล่า
- เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้ว การสื่อสารที่ทันสมัยมี่สุดคือ Fax หากทำธุรกิจส่งแฟ็คไปอเมริกา หน้าหนึ่งอาจใช้เวลาประมาณ ๔ นาที ถ้าสิบหน้าก็ใช้เวลา ๔๐ นาที แต่สมัยนี้ส่งอีเมล์ใช้เวลาเพียง ๑๕ วินาที แสดงว่า ความเร็วรอบของการสื่อสารเร็วขึ้นถึง ๑๖๐ เท่า .... เมื่อลองเปรียบเทียบกับการบริโภค ก็เพิ่มขึ้นในอัตรามากเช่นกัน ... นี่คือสาเหตุของการเร่งการผลิตทั่วโลก
- ทุกอย่างต้องเร่งผลิต หลายอย่างจึงผิดธรรมชาติ ไก่ฮอร์โมน การตัดแต่งพันธุกรรม การเผาพลาญน้ำมันจำนวนมหาศาล
- ผลก็คือทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดภัยธรรมชาติตามมามาก
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2559
จับประเด็น : ทำไม? ความพอเพียงจะทำให้ประเทศไทยอยู่รอด ตอนที่ ๒
- ทุกวันนี้คนจบปริญญาตรี เงินเดือนอยู่ที่ ๑๕,๐๐๐ บาท ถามว่า มีทางไหมที่จะลืมตาอ้าปากมาเป็นผู้ประกอบการบ้าง?
- ยกตัวอย่าง หากคุณทำขนมชื่อ "ชาญหญิง" อร่อย...ขายดี...อยากขยายงาน คุณเลยไปเจรจา 7-eleven ปรากฎว่ายอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากหมื่นกล่องเป็นแสนกล่อง สองแสนกล่อง คุณกำลังจะได้เป็นเฒ่าแก่น้อยแล้ว...แต่วันหนึ่ง 7-eleven บอกว่า ให้คุณผลิตวันละ สามแสนกล่อง แต่ขอเปลี่ยนเป็นยี่ห้อง 7-eleven หากไม่ทำก็จะไม่ให้ขายในร้าน ... คุณก็ต้องยอม คุณก็ไม่ได้เป็นเฒ่าแก่น้อยแล้ว ...
- ปัญหาไม่ใช่ ผู้นำไม่เข้าใจ ปศพพ. แต่ปัญหาคือ ผู้นำประเทศไม่เอามาปฏิบัติ
- ทุกวันนี้นักวิชาการบางท่านยังสอนอยู่เลยว่า การปกครองของประเทศไทยประกอบด้วย ๓ อำนาจ ได้แก่ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลากร ไม่ก้าวก่ายกัน ...... ความจริงมันพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ....
- หนังสือทุกวันนี้ ชอบจับกิเลสคน คือ อยากได้ อยากเป็น อยากมี สอนให้คนโกงภาษี สอนให้เอาเปรียบคนอื่น ฯลฯ
- ไม้ตายหรือจุดแข็งของค่ายโลกเสรีคือ สื่อ ที่มีจำนวนมาก ต่างจากค่ายหลังม่ายไม้ไผ่และหลังม่านเหล็กที่มีสื่อน้อยกว่า
- "บ่อปลา" อย่างหนึ่งคือของระบบโลกเสรีคือ "Fake demand" คือความต้องการเทียม เช่น อะไรที่ไม่จำเป็นแต่มันทำให้คนรู้สึกว่าจำเป็น หรือ บางทีประกาศสร้างคอนโดฯ ยังไม่ลงเสาเลย สื่อบอกว่ามีคนจองไปแล้วเกือบ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ....คนก็เชื่อแล้วรีบไปจอง ฯลฯ
- นักจิตวิทยาอเมริกัน ๒ คน ชื่อ ทิม แคสเซอร์ และ ริชาร์ด ไรอัน พบว่า นักเรียนอเมริกันยุคนี้ ถือเอาความสำเร็จด้านการเงินไว้เหนือพัฒนาการด้านจิตใจ ความสงบสุนในครอบครัว และการช่วยกันรักษาโลกให้น่าอยู่
- ทั้งสองบอกว่า คนที่หลงไหลในวัตถุจะชอบดูโทรทัศน์ โดยเฉพาะรายการที่นำเสนอชีวิตผู้คนที่ดำรงอยู่อย่างโก้หรูเกินจริง และโฆษณาที่มุ่งสร้างความไม่พอใจกับทรัพย์สินที่มีอยู่ ดังนั้นผู้ที่ชอบดูโทรทัศน์ จึงมักไม่พอใจในชีวิตของตนเอง มีขวัญและกำลังใจต่ำ และ รู้สึกว่าตนเองอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าผู้อื่น
- พวกที่ดูโทรทัศน์ จะเสี่ยงต่อความที่ "ไม่พอเพียง" อยู่ตลอดเวลา เนื่องจาก บนโทรทัศน์ส่วนใหญ่จะมีแต่รายการหรือโฆษณาที่ยั่วกิเลส ความอยากได้ตลอดเวลา
- ปัจจุบันสถิติการหย่าร้างเพิ่มขึ้นมาก เหมือนกับฝรั่ง แต่ความแตกต่างกันตรงที่ เมื่อหย่าร้าง ฝรั่งจะทะเลาะกันเพื่อเอาลูกไปเลี้ยง แต่ชายไทยไม่ทะเลาะเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จะหนีหายไป ปล่อยให้แม่เลี้ยง
- ตอนนี้ จบ ป.ตรี สมมติว่ามีงาน ๑๕,๐๐๐ บาท ชีวิตในกรุงเทพค่าที่พัก ๔,๐๐๐ บาท ค่ารถ ๓,๖๐๐ ต่อเดือน ค่ากิน ๓,๐๐๐ บาท เงินจะเหลือ ๒,๔๐๐ บาท สมมติเก็บเงินเป็นจะได้เงินเก็บต่อปี ๒๘,๐๐๐ บาท.... คำถาม คือ จะเก็บเงินกี่ปีถึงจะซื้อบ้านได้ ... นี่คือสาเหตุที่ลูกหลานของเราต่อไปจะต้องผ่อนดาวน์บ้านชั่วชีวิต เด็กสมัยใหม่ที่จบ ป.ตรี จึงไร้อานาคต
- ในปี ๒๕๔๓ ครอบครัวอเมริกันเกือบจะไม่มีเงินออม ครอบครัวในอังกฤษกว่าร้อยละ ๕๐ ไม่มีบ้านเป็นของตนเอง
- เด็กอเมริกันใช้ของเล่น ร้อยละ ๔๕ ของการผลิตทั้งหมดในโลก เด็กอเมริกันได้ของเล่นเพิ่มเฉลี่ยคนละ ๗๐ ชิ้นต่อไปี คนอเมริกันใช้งบโฆษณามากที่สุดในโลก คิดเป็น ๒๑๔,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ หรือร้อยละ ๕๐ ของโฆษณาทั่วโลก และในจำนวนนี้ ๑๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ เป็นโฆษณามุ่งเป้าไปยังเด็ก ทำให้เด็กอายุ ๑๒ ปี เห็นโฆษณามาแล้วกว่า ๒๐๐,๐๐๐ ครั้ง และกลายเป็น "นักบริโภคนิยมเต็มตัว" เหมือนพ่อแม่ เมื่อเขาโตเหมือนผู้ใหญ่
- ทั่วโลก... กำลังดำเนินรอยตาม คือสร้าง "นักบริโภคนิยม"
- ปี ๒๕๒๒ - ๒๕๔๒ ร้อยละ ๙๕ ของความมั่งคั่งจำนวน ๑,๑๐๐ พันล้านดอลล่าร์ เข้ากระเป๋าคนเพียงร้อยละ ๕ เท่านั้น
- ในระดับโลก ร้อยละ ๘๐ อยู่ใต้เส้นของความยากจน ชาวโลก ๑,๐๐๐ ล้านคน ไม่สามารถตอบสนองความจำเป็นของตนเได้
- ทุนนิยมจะมาพร้อมกับ "ประชาธิปไตย จอมปลอม" และ "การคุมสื่อมวลชน" เพื่อให้ประชาชนเชื่อในสิ่งที่ทุนนิยมต้องการ เสรีนิยมดีอย่างไร ทำให้เกิด "ฝูงชนที่งุนงง"
- วอลเตอร์ ลิปแมน เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่เก่งมาก ต่อมาเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการก่อตั้ง CFR ซึ่งเป็นที่รวมของบริษัทยักย์ใหญ่ ที่คุมระบบทุนนิยมของโลกอยู่ ณ ขณะนี้
- นักวิชาการต่างๆ ทั้งหมดที่คุณสนธิยกมา บอกว่า รุบบทุนนิยมเสรี ไม่ดี ... ตราบใดที่ไม่มีศีลธรรม ....
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559
จับประเด็น : ทำไม? ความพอเพียงจะทำให้ประเทศไทยอยู่รอด ตอนที่ ๑
- ก่อนจะเข้าใจตนเอง เข้าใจประเทศไทย ต้องเข้าใจภาพรวมของโลกก่อน
- สิ่ง ที่เป็นอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ เป็นผลพวงของ "ทุน" ทุนนิยมต่างชาติที่เข้ามาเชื่อม หรือสัมพันธ์กับประเทศไทยเป็นเนื้อเดียวกันหมดแล้ว
- ดังนั้นก่อนจะเข้าใจประเทศไทย เราต้องเข้าใจ "ทุนนิยมเสรี" เสียก่อน
- ปี ๒๔๗๕ - ๔๓๒ = 1932 สิ่งที่เกิดขึ้นกับกำแพงเบอร์ลิน ส่งผลมาจนทำให้เศรษฐกิจประเทศไทย "พัง" ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
- ปัญหา ของคนไทยตอนนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ คนไทยขาด "ปัญญา" สิ่งที่คุณสนธิกำลังทำอยู่นี้คือการเสริมปัญญาของคนไทย ... หัวใจของการแก้ปัญหา
- นักปรัชญาที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ คือ โอริเวอร์ เจมส์ เสนอหลักคิด ฉันทามติกรุงวอชิงตัน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
- แต่ก่อนโลกแบ่งออก เป็น ๒ ค่าย คือ ค่ายโลกเสรี และอีกค่ายคือ ค่ายหลังม่านเหล็กก็คือรัสเซีย ต่อมามีจีนเกิดขึ้น เขาเรียก ค่ายหลังม่านสไม้ไผ่
- กำแพงเบอร์ลิน เป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งโลกออกเป็นสองส่วนคือ โลกเสรีและโลกคอมมูนิสท์ ครั้งหนึ่งจอน เอฟ เคนเนดี้ ไปพูดเรื่องโลกเสรีที่เบอร์ลิน ทำให้กำแพงเบอร์ลินเป็นข่าวดังไปทั่วโลก กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแบ่งโลกในเวลาต่อมา
- วิธี ทางตะวันตก จะริเริ่มจาก "นักคิด" จะเสนอความคิดขึ้นมา ฝ่ายต่างๆ นักวิชาการ นักข่าว สื่อมวลชน ค่อยเอาหลักคิดเหล่านั้นมาสื่อสาร ถ้าความคิดดี ถ้าใช่ ก็ส่งเสริมกันไป จนกลายมาเป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับ
- นักคิดชื่อ แซม มัวร์ พี ฮัตติงตัน บอกว่า การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งของวัฒนธรรม ระหว่างประเทศมุสลิมกับประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม ...ผ่านหนังสือ the crash of civilization
- นักคิดอีกคนชื่อ ฟรานซิส ฟูกูยาม่า เขียนหนังสือชื่อ the end of the history จุดจบของประวัติศาสตร์ บอกว่า จากนี้ไปไม่มีโลกคอมมิวนิสท์แล้ว เหลืออยู่โลกเดียวคือ โลกการตลาด ซึ่งเป็นผลพวงจากการค้าเสรีที่เกิดขึ้น
- มีนักคิดอีกคนหนึ่งบอกว่า กติกาของโลกใหม่ต้องเป็น "ฉันทามติกรุงวอชิงตัน" ๓ ข้อ ได้แก่ ๑ เงินทุนต้องเดินทางไปทั่วโลกได้ ๒ รัฐบาลต่าง ๆ ต้องไม่มีการต่อต้าน และ ๓ รัฐบาลต่างๆ ต้องมีเสถียรภาพ
- ข้อที่ ๒ เช่น กฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ ซึ่งล้อ Washington Consensus
- ต่อมาเกิดลัทธิ "เสรีนิยมใหม่" กับ "อนุรักษ์นิยมใหม่" ทะเลาะกันในอเมริกา แต่ทั้งสองก็คือ "ทุนนิยมใหม่" ที่ยึดเอาผลประโยชน์ประเทศเป็นหลัก
- ทุนนิยมใหม่ เกิดขึ้นอย่างไร?
- เกิดขึ้นเพราะ คนรวยรวมตัวกัน เพราะกำไรตนเองน้อยลง เพื่อใช้กระบวนทัศน์เดียวกันทั่วโลก เช่น ๘๐ ปีที่แล้ว เกิด "สภาหอการค้า" ซึ่งขยายตัวไปทั่วโลก
- เมื่อมีเงิน พวกพ่อค้าก็เริ่มหา "อิทธิพล" โดยการซื้อ "อำนาจ" จากการเข้าหานักการเมือง
- คนที่พูดเรื่อง "ทุน" คนแรกคือ อดัมสมิท (ในศตวรรษที่ ๑๘) บอกว่า ทุนเป็นของดี หากไม่มีทุนจะพัฒนาได้ยาก ดังนั้นจึงไม่ควรไปต่อต้านเรื่องทุนหรือแทรกแซงจากรัฐ ซึ่งสวนทางกับแนวคิดของระบบกษัตรย์ในขณะนั้น
- อังกฤษก็เริ่มพัฒนาระบบทุนนิยมมาเรื่อย ๆ และขยายไปทั่วยุโรปผ่านความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดกษัตริย์ ทำให้เกิดความขัดแย้งกับระบบกษัตริย์ต่าง ๆ ในยุโรป กอปรกับระบบกษัตริย์กำลังเสื่อม ทำให้เกิดสงครามไปทั่ว และก่อเกิด "นายทุนกษัตริย์" ขึ้น
- นายทุนกษิตริย์ที่สำคัญคือ บารอน รัดชาวน์ ที่เป็นเจ้าของธนาคารรัดชาวน์ที่เจ้งไปที่สิงคโปร์
- ต่อมานักคิดชื่อ จอน เบนาร์ด เคน คิดทฤษฎี "เคนเซี่ยน" ขึ้นมา บอกว่า หากเศรษฐกิจมีปัญหา รัฐต้องเข้าไปลงทุน เพื่อให้เกิดการว่าจ้างงาน ซึ่งถูกเอามาใช้ในยุโรป และขยายไปยังฝั่งอเมริกาด้วย
- ข้ามมาเวลามายุคนี้ ทุกคนเล่นหุ้นตามความคิดของ "มิลตัน ฟริตแมน" ประเภทเล่นหุ้นแบบซื้อมาขายไป ซื้อเช้าขายบ่าย ฯลฯ ฟริตแมนบอกว่า ๑) ความสำเร็จของการลงทุน ตัดสินกันที่การเล่นหุ้นระยะสั้น ๒) อะไรที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานควรรัฐควรให้เอกชนเข้ามาแข่งขัน เช่น ไฟฟ้า ประปา รถไฟ ๓) การลดละเลิกกฎระเบียบ การให้นายจ้างเป็นกำหนดค่าจ้างได้อย่างเสรี ลดภาษีคนรวย ฟริตแมนจะเชื่อว่า อย่าไปเก็บภาษีคนรวย เพราะคนรวยจะเอากำไรที่ได้มาลงทุนต่อ ๔) การบริโภคและความต้องการของตลาด จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
- หากดำเนินตามความคิดของฟริตแมน จะทำให้เกิดการ "รวยเป็นประจุก จนกระจาย" ซึ่งไทยก็มาถึงจุดนี้แล้ว
- ในขณะที่คนรวยทำแบบ "ฟรติแมน" แต่ "เคนเซี่ยน" ก็ยังอยู่ พวกที่เห็นแก่ตัวแบบฟริตแมน พอได้เข้าไปมีอำนาจรัฐ ...จึงทำให้เกิด "ประชานิยม" นั่นเอง
- แต่แทนที่สหภาพต่างๆ จะต่อต้านการขยายตัวของ "ทุนนิยมสามานย์" แต่กลับสร้างอาณาจักรของตนเอง มีผู้นำใช้สินค้าฟุ่มเฟือย และต้องการค่าแรงเพิ่มขึ้นทุกปี ... เรียกว่า สหภาพแรงงานไม่มี "ดุลยภาพ" (Harmony) หรือไม่มี give and take ... สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบคือประชาชน ที่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่แพงขึ้น ๆ
- นี่คือที่มาของ การล้มสหภาพฯ ของนางมากาเร็ตแท็ตเชอร์ กับ โรนาว แรแกน ร่วมมือกันถล่มสหาภาพ และเอาแนวคิดของฟิริตแมน มาใช้อย่างได้ผล
- จึงทำให้เกิด "MBA" ขึ้นทั่วโลก ซึ่งสอนกันว่า ใช้ตัวเลขในการคิดเป็นหลัก ผลกำไรเป็นหลัก ไม่ได้ใช้ประชาชนเป็นหลัก
- ประเทศไทยก็สอน MBA กันทั่วประเทศ อย่างบ้าคลั่ง ถือเป็นความบ้าคลั่งทางวิชาการ ทำให้ระบบทุนนิยมขยายตัวไปในประเทศอย่างรวดเร็ว
- หลอกลวงว่า ถ้าคนรวย ๆ ขึ้น จะเอาเงินมาลงทุน ให้เกิดการสร้างงาน เกิดรายได้ ... แต่ความจริง เป็นไปในทางตรงข้าม คนรวย ๆ ขึ้น คนชั้นกลางจนลง คนจนจนลง โดยชนชั้นปกครองก็ยัง หลอกลวงประชาชนต่อไป
- เพิ่งจะยอมรับกันไปทั่วโลก หลังจาก ๔๐ ปีผ่านไป ว่า ระบบทุนนิยมเสรี คือระบบที่ "ปล้นคนจนไปให้คนรวย"
- ยกตัวอย่างเช่น ๔๐ ปีที่แล้ว เราผ่อนบ้านเวลา ๑๕ ปี ผ่อนรถ ๓ ปี แต่วันนี้ ผ่อนบ้าน ๓๐ ปี ผ่อนรถ ๗ ปี ....ต่อไป บ้านอาจต้องผ่อนตลอดชีวิต ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นตลอดเวลา และสาเหตุก็คือ "ทุนนิยมเสรี"
- พวกทุนนิยมเสรี แท้จริงแล้วก็ใช้ทฤษฎีการอยู่รอดของ ชาวส์ ดาวิน "คนแข็งแกร่ง เท่านั้นที่จะอยู่รอด" บอกว่า การปกป้องผู้อ่อนแอโดยรัฐ จะนำไปสู่ความพินาศของผู้อ่อนแอ และทำให้ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่อยู่รอด
- นายทุนใหญ่ ๆ เช่น แอนดรู คาเนกี้ ร็อคกี้ เฟลเลอร์ ฯลฯ นี้จะตั้งมูลนิธิฯ เพื่อให้ทุนการศึกษากับประเทศโลกที่ ๓ เหมือนจะดี แต่ความจริงแล้ว เอาไปหลอมความคิด เอาไปเรียนกติกา เพื่อเอาเงินทุนไปลงทุน ซึ่งผู้ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือทุนใหญ่ ๆ นั่นเอง ... เรียกว่า สิ่งที่ทำคือ Soft Power
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559
จับประเด็น ๔ : รอบๆ
(เป็นการพักผ่อนแบบ เตรียมเรื่องราวไปเล่าแทรกตอนสอน)
จิปาถะ รอบโลก มองโลก มองเรา มองเขา เฝ้ามองตนเอง....
จิปาถะ รอบโลก มองโลก มองเรา มองเขา เฝ้ามองตนเอง....
- โอบาม่า มีความคิดแบบใหม่ เรียกว่า "เสรีนิยมใหม่" ที่จะไม่ยอมให้เกิดสงครามแบบอิรักที่อเมริกาทำตัวเป็นตำรวจโลก เสือกทุกเรื่อง แต่จะไม่เข้าไปยุ่งถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนเอง หรือถ้าจะยุ่งก็ต้องเอาคนอื่นเข้าไปยุ่งด้วย
- ตอนนี้กำลังต่อสู้กันในสภา ถ้าโอบาม่าชนะจะไม่เกินส่งครามในอิหร่านแบบในอิรัก แต่ถ้าสายเหยี่ยวชนะ จะเกิดสงครามในอิหร่านแน่
- ญี่ปุ่นเปลี่ยนกฎหมายแล้ว ทำให้สามารถที่จะออกไปปกป้องผลประโยชน์นอกประเทศ หรือไปช่วยประเทศต่างๆ ในกลุ่มที่ร่วมประโยชน์กันได้
- นายกอาเบะ พูดในที่สาธารณะว่า จีนคือศัตรูของญี่ปุ่น และพูดกับนักข่าวแบบไม่เป็นทางการว่า ญี่ปุ่นพร้อมรบจีน
- อเมริกา ชี้หน้า ประเทศจีนว่า "มึงมาแฮคข้อมูลกู" ..ประมาณนั้น จีนนั่งเงียบ... บอกว่า เอาหลักฐานมาซิ ...
- มองมาที่ประเทศไทย ....อเมริกาใช้ ทส. เป็นเครื่องมือ ที่จะเข้ามามีอำนาจในประเทศไทยอีก
- อเมริกาบอกว่า ... คุณต้องมีการเลือกตั้ง... ฑูตคนใหม่ชื่อ กริน เดวิด เป็นอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น Orange Revolution ที่ยูเครน การล้มของเวเนซูเอร่า โดยใช้เฟสบุ๊ค เครือข่ายเอ็นจีโอ
- การยกเลิกคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย เป็นสัญญาณบอกว่า ระบบทุนชนะ นายกเริ่มถอย?
- หลังปฏิวัติ ผ่านมาแล้ว ๒ ปี คนที่เป็นปัญหายังอยู่เหมือนเดิม ทุนยังอยู่ คนล้มเจ้ายังอยู่ นักการเมืองกำลังจะกลับมา ทุกอย่างจะย้ายกลับไปสูจุดเดิม... เลือกตั้งแบบ (ไร้ปัญญา) เหมือนเดิม
- การเกิดขึ้นของเฟสบุ็คและเครือข่ายสังคมต่างๆ จะทำให้การประท้วงบนท้องถนนจะไม่มีทางสำเร็จอีกต่อไป
- ๙ ปีที่แล้ว ความสัมพันธ์จีน-อเมริกา ไม่ได้แย่ขนาดนี้ ต่างจากตอนนี้ที่กำลังจะรบกันได้ทุกเมื่อ
- จีนวันนี้ มีเทคโนโลยีทางการทหาร ที่ได้จากรัสเซียแล้วมาพัฒนาต่อยอด อย่างเต็มกำลัง
- รัสเซียได้ทั้งเงินและมิตรร่วมรบ
- สนามประลองกันคืออิหร่าน ซีเรีย ในตอนนี้
- ซาอุดิอาระเบียนับมืออเมริกา กระทึบราคาน้ำมันจาก ๑๒๐ เหรียญ ลดลงหรือต่ำกว่า ๔๐ เหรียญ
- ถ้าสำเร็จ ซาอุฯ จะเป็นเจ้าแห่งน้ำมันแต่เพียงผู้เดียว อิหร่านจะตาย เวเนซุเอร่า ส่วนอเมริกา ได้ประโยชน์ที่ รัสเซียเสียหายหนัก เพราะรัสเซียก็ขายน้ำมันเหมือนกัน
- ทุกอย่างอย่าเชื่อง่าย ... การระเบิดครั้งใหญ่ที่โรงงานที่เทียนจิน ไม่ใช่อุบัติเหตุ วันเดียวกับที่ท่อน้ำมันในรัสเซียระเบิด
- อเมริกาทุบตลาดหุ้นที่เชี่ยงไฮ้ ทำให้มูลค่าเงินหายไปกว่า ๔๐ เปอร์เซ็นต์
- จีนแก้ลำด้วยการลดค่าเงินหยวนติดกัน ๓ วัน
- เครื่องบิน MH370 ที่หายไปของมาเลเซีย ตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ
- อเมริกาต้องการอะไร? ... ต้องการจะเป็นผู้กำหนดกติกาโลกเหมือนเดิม ยังต้องการเป็นตำรวจโลก ต้องการจะยืมเงินคนทั่วโลกมาใช้
- วันนี้จีนมีเงินฝากอเมริกาอยู่ ๓.๗ ล้านล้านเหรียญ
- จีนและรัสเซีย เป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ที่ไม่ต้องการอยู่ภายใต้อเมริกาอีกต่อไป
- จีนให้ความช่วยเหลือด้านการเงินรัสเซีย ทำให้รอดพ้นจากการโจมตีของอเมริกาและยุโรป โดยแรกกำลังการสอนเทคโนโลยีด้านการทหาร
- จีนต้องการอะไร?... จีนก็ฝันจะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนสมัยในอดีต
- วิธีการของอเมริกา คือ ทำให้ที่เป้าหมายวุ่นวาย โดยหลอกว่าต้องมีประชาธิปไตย
- อเมริาจะไม่ชอบประเทศที่มีความสามัคคีมากๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีกษัตริย์ที่เข้มแข็ง เช่น ประเทศไทย
- สมัยที่ในหลวงทรงแข็งแรงอยู่ อเมริกา ทำอะไรไม่ได้ ... ความวุ่นวายเกิดกับไทยหลังจากที่ท่านทรงประชวร
- แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง เป็นระบบที่ ทุนเกลียดที่สุด
- ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาเดียวที่ จะทำให้ประเทศไทยอยู่รอด
- ถ้าคนไทยเข้าใจ ปศพพ. แล้ว ต่างประเทศจะไม่มีทางเข้ามายึดครอง
- วิธีการของอเมริกา คือ สร้างคามอ่อนแอให้ระบบกษัตริย์ โดยจัดการกับมาตร ๑๑๒ ผ่านระบบสากล ว่าต้องวิพากษ์วิจารณ์ได้ ปลูกความคิดนี้ไว้ผ่านบุคคลเด่นๆ ที่เห็นกันอยู่ โดยเฉพาะอาจารย์มหาวิทยาลัย โดยหวังว่าพวกนี้จะปลูกเมล็ดพันธ์พืชความเชื่อตะวันตกไว้อย่างเป็นระบบ ใช้การศึกษาและวัฒนธรรมเป็นอาวุธ เช่น เอาคนไปเรียนที่นั่น ปลูกฝังความเชื่อ วิธีคิดแบบตะวันตก แล้วกลับมาปกครองเปลี่ยนระบบแบบไม่ให้รู้ตัว หลังสงครามโลกครั้งที่สอง มีความพยายามจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ แต่มีคนแนะนำว่า คนไทยจำเป็นต้องมีศูนย์รวมทางด้านจิตใจ "เขา"เลยคิดกันว่า จะไปเอาใครดี?...
- สมเด็จพระบรมโอรษาธิราชในตอนนั้น ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของในหลวงเรา สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ลือกันว่า อาจโดนวางยา เพราะว่า ท่านเป็นทายาทที่รัชกาลที่ ๕ ไม่ยอมส่งให้ไปเรียนเมืองนอก เพราะทรงอยากให้กษัตริย์คงความคิดและความเชื่อวัฒนธรรมของไทยไว้ให้เต็มที่ ในขณะที่ลูกชายคนอื่นๆ ถูกส่งไปเรียนเอาวิทยาการที่ต่างประเทศหมด
- กลุ่มฝรั่งที่อยู่เบื้องหลัง เลยมองไปที่รัชกาลที่ ๘ และ ๙ ที่เกิดโตที่ต่างประเทศมาตลอด ... คนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต... คนที่เลี้ยงในหลวงคือสมเด็จย่า
- พระองค์ท่านสอนความเป็นไทยให้ลูก ให้สวดมนต์ไหว้พระ ให้นึกถึงความเป็นไทย ให้รักคนไทยวัฒนธรรมไทย ... จนกลายมาเป็นเศรษฐกิจพอเพียง ที่สวนทางกับความต้องการของทุนนิยมสามานย์โดยสิ้นเชิง
- อีกวิธีการหนึ่ง อเมริกาจะเอาผลประโยชน์เข้ามาล่อ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ที่เทิดทูล MBA เป็นสรณะ
- ยังไม่นับถือเรื่องหนัง เครื่องแต่งกาย และสื่อต่างๆ ที่เข้ามาหลากหลายในปัจจุบัน
ช่วงหลัง ๆ ไม่กล้า "จับ" ครับ เพราะกลัวถูกจับไปปรับทัศนคติ...ฮา
จับประเด็น ๓ : กรีซ
ต่อไปนี้จะลองจับประเด็นจากคลิปนี้ครับ เป็นคลิปสอนตอนกรีซกำลังโกลาหล อันเป็นผลจากความไม่พอเพียง และกำลังจะทำประชามติว่าจะรับเงื่อนไขของเจ้าหนี้หรือไม่ คุณสนธิวิเคราะห์ที่มาที่ไป ได้ความรู้ประเทืองปัญญายิ่ง
เอาเฉพาะที่เกี่ยวกับ "กรีซ" นะครับ (ช่วงนาทีที่ประมาณ ๒๐) เพื่อศึกษากรณีนี้ว่า "พอเพียง" หรือไม่ตรงไหนอย่างไร?
- ความล่มสลายของกรีซ เป็นผลพวงต่อเนื่องจากวิกฤตฮัมเบอร์เกอร์ในปี 2008 การล่มสลายของเศรษฐกิจอเมริกา การล่มสลายของเอไอเอ (บริษัทประกันชีวิต) การล้มละลายของจีเอ็มมอเตอร์ ธนาคารแบงค์ออฟอเมริกา
- กรีซใช้เงินเกินตัว จนเกิดหนี้สาธารณะและหนี้ภาคเอกชน ช่วงก่อนปี 2010 รายได้ไม่พอรายจ่าย เลยกู้เงินเข้ามา เพื่อจ่ายเรื่องการลงทุน จ่ายเงินบำนาญ ค่าน้ำค่าไฟ อุดหนุนการศึกษา การสาธารณสุข
- ทำให้หลังปี 2010 หนี้สาธารณะพุ่งขึ้นถึง ๓๕๐,๐๐๐ ล้านยูโร หรือประมาณ ๑๗ ล้านล้านบาท
- 2011 IMF เข้ามา แล้วบังคับให้กรีซรัดเข็มขัด ... เงินบำนาญต้องลดลงครึ่งหนึ่ง ตัดเงินรักษาพยาบาล ลดการอุดหนุนการศึกษา ขึ้นค่ารถ ค่าไฟ ค่าน้ำ ฯลฯ
- ทำให้เกิดการประท้วงอย่างกว้างขวาง ... ช่วงนั้นเป็นรัฐบาลฝ่ายขวาจัดซึ่งเห็นด้วยกับทุนนิยมเสรี ที่เข้ากับทางตะวันตก
- 2012 EU ให้ยืมเพิ่ม ๑๓๐ ล้านยูโร
- โกแมนแซค บริษัทบริหารธนกิจ เข้ามาหารัฐบาลกรีก แล้วแนะนำให้กู้เงินโดยไม่ต้องเพิ่มในบัญชีหนี้สินของประเทศ แต่วางไว้ในบัญชี swop .... กรีกตกลง ได้เงินกู้แต่ดูเหมือนบัญชีสะอาด
- 2015 มีการเลือกตั้ง ได้รัฐบาลนายซีปรัสด้วยคะแนนท่วมท้น ที่ออกมาขายฝันว่า .... ถ้าได้เป็นรัฐบาลจะต้องไม่ยอมตะวันตก ต้องมีการเจรจากันใหม่ ...
- ECB เป็นธนาคารชาติของยุโรป มีเยอรมันนี้เป็น "ขาใหญ่" ได้เปรียบ ."เสียงดัง"...
- ECB จับมือกับ เลขาธิการ IMF คนใหม่ ชื่อ ลากาส (เลขาฯ คนเก่า ถูกฟ้องคดีข่มขืนโสเภณี ซึ่งต่อมาศาลยกฟ้องเพราะผู้หญิงให้การไม่ปะติปะต่อ ต่อมาจะมาลงสมัครแข่งอีก เลยโดยอีกข้อหาหนึ่ง มีอยูหญิงโสเภณีไปแจ้งความว่าไปจัดปาร์ตี้เซ็กหมู่ สุดท้ายเลยไม่ได้เป็นเลขาธิการ IMF ต่อ.... ทั้งหมดนี้เพราะ ไม่เห็นด้วยกับวิธีการของตะวันตกในการจัดการปัญหา)
- นายกอเล็กซิส ซีปลาส ไม่ตัดสินใจเอง แก้ปัญหาโดยการทำประชามติ ให้ประชาชนตัดสินใจว่าจะอยู่ในยูโรต่อไปหรือไม่ คือ จะอยูภายใต้ IMF ต่อไปไหม?
- จะเข้าใจกรีซต้องเข้าใจ EU ก่อน
- ยูโรโซน เป็น การรวมตัวกันทางการเมือง มากกว่าจะเป็นการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจเหมือนที่เข้าใจกัน
- ยูโรโซนเกิดขึ้นเพื่อต้องการกระจายอำนาจทางทหารโดยวิธีแบบบูรณาการ สงครามโลกทั้งสองครั้งที่ผ่านมาเกิดเพราะเยอรมันประเทศเดียว ที่ไปรบกับประเทศอื่นข้างเคียง การจะไม่ให้เกิดครั้งต่อไป ต้องให้หลายๆ ประเทศเข้าไปกระจายเพื่อคลายและคานอำนาจ ... ความสามารถในการผลิตอาวุธกระจายไปทั่วยุโรป ... ตอนแรกทำสำเร็จดีมีประโยชน์หลายอย่าง เลยขยายออกมาหลายประเทศ
- เช็ค ออสเตรีย ฮังการี ฟินแลนด์ โปแลนด์ รุดเวียร์ เข้าร่วมเพราะต้องการหนีรัสเซีย
- ไอแลนด์เข้าร่วมเพราะต้องการหนีอังกฤษ
- สเปนและโปรตุเกตเข้าร่วมเพราะต้องการหนีระบบเผด็จการ
- คู่ค้าของฟินแลนด์คือรัสเซีย ไอแลนด์มีคู่ค้าเป็นอังกฤษและอเมริกา กรีซค้าขายได้ประโยชน์มากที่สุดจากบูกาเรีย ... ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันด้านการค้า
- กรีซเข้าร่วมเพราะต้องการบอกโลกว่าฉันก็เป็นหนึ่งใน EU เพราะความเท่ห์เท่านั้นเอง...
- เมื่อมารวมกันแล้ว จะต้องผูกโยงกันด้วยเงินสกุลเดียวกัน เพื่อกระชับใกล้ความสัมพันธ์อันดีแก่กัน การใช้เงินยูโรจึงเกิดขึ้น
- จะทำอย่างนั้น ทุกธนาคารชาติของทุกประเทศต้องยุบหมด แล้วให้แบงค์ ECB เป็นธนาคารแห่งชาติยุโรปร่วมกัน ... มีข้อดีแต่ข้อเสียคือ แต่ละประเทศจะขาดอิสระภาพในการจัดการ
- แม้ประเทศกรีกกำลังจะล้มละลาย แต่ยังจำเป็นต้องใช้สกุลเงินยูโรอยู่ ... ไม่สามารถลอยตัวค่าเงินบาลเหมือนประเทศไทย ที่แม้จะเสียหายมาก แต่พอค่าเงินถูก ทำให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยว เงินดอลลาร์ไหลกลับเข้ามาทำให้เศรษฐกิจฟื้นได้ ... แต่กับกรีกไม่ใช่ จึงทำให้ต้องพึ่งพา ECB อย่างเดียว
- EU ก็ไม่อยากให้กรีซออกจาก EU เพราะกลัวจะกระเทือนไปหลายประเทศ โดยเฉพาะที่เป็นหนี้เยอะมากๆ คือฝรั่งเศสและอิตาลี
- จีนก็อยากให้กรีซอยู่ต่อ เพราะกับสร้างเส้นทางสายไหมใหม่ที่ต้องวิ่งผ่านกรีซ
- สินค้าที่ทำรายได้ให้กรีซมากที่สุดคือ การท่องเที่ยว นอกจากนี้ก็ทำเสื้อผ้าร่วมกับบูกเรีย
- กรีซเป็นเจ้าของเรือขนส่งสินค้าที่หนักที่สุดในโลก
- สนธิบอกว่า กรีซออกจากยูโรโซนจะดีที่สุด เพราะโครงสร้างที่ดี มีถนนหนทาง สนามบิน ทุกอย่างโอเค เสียเพียงนิสัย "ลั่นล๊า" ที่น่าจะแก้ได้
- คนกรีซสามารถที่จะเกษียณตัวอเองได้ตั้งแต่อายุ ๔๕ ปี ทำให้ โดยที่รัฐบาลจ่ายบำนาญให้ไปตลอดชีวิต
- อัตราการว่างงานของกรีซสูงถึง ๒๖ เปอร์เซ็นต์
- ตลาดหุ้นของกรีชจากเดิม ๖,๐๐๐ กว่า ตอนนี้ (ก.ค. ๕๘) ลดเหลือ ๕๐๐
- เล่นหุ้นก็คือเล่นการพนัน การลงทุนที่แท้จริงมีเพียงวันแรกของการนำเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น ที่ซื้อขาย IPO
ผลการลงมติปรากฎว่า โหวต "No" สูงถึง ๖๑ เปอร์เซ็นต์ (อ่านข่าวได้ที่นี่) คุณสนธิมาวิเคราะห์ต่อตามคลิปด้านล่างครับ
- ผลการโหวตโน บอกว่า EU ต้องตัดสินใจว่า จะเข้าช่วยอย่างไร เจ้าหนี้จะยินยอมผ่อนปรนหรือไม่ หรือจะปล่อยให้กรีซหลุดออกไปจากกลุ่มยูโรโซน แล้วหันกลับไปใช้เงินสกุลเงินดรักมาของตนเอง
- ในที่สุด รัฐสภากรีซ มีมติเห็นชอบกับการขอยืมเงิน EU เพื่อความอยู่รอด แลกกับสิทธิ์ประโยชน์ทุกอย่าง รัฐวิสาหกิจทุกอย่างและทรัพย์สินต่างๆ เป็นทุนค้ำประกันเงินกู้ ๕๐,๐๐๐ ล้านยูโร ที่จะขอยืมจาก EU เท่ากับ ไม่มีอะไรเป็นของตนเองแล้ว แม้จะมีเชื้อชาติกรีซ
- เจ้าหนี้บอกว่า ต่อไปนี้ ต้องทำตามเงื่อนไขต่างๆ โดยหนี้ไม่ลด บีบบังคับให้ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก ๑๓ เป็น ๒๓ เปอร์เซ็นต์ ... เปรียบเหมือนตายทั้งเป็น เพราะรายได้หลักมาจากการท่องเที่ยว
- อัตราการว่างงานน่าจะเพิ่มขึ้นจาก ๒๖ เป็น ๔๕ เปอร์เซ็นต์ ทำนายว่าประเทศจะล่มสลาย ทรัยพสินทุกอย่างจะถูกขายไปใช้หนี้ สถาบันการศึกษาจะขึ้นค่าเล่าเรียน การศึกษาจะตกต่ำ
- IMF แถลงว่า หนี้สินกรีซถ้าไม่ลดลง จะอยู่ไม่ได้แน่ๆ การยืมเงินครั้งนี้ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังต้องต้องมีการเจรจาลดหนี้
- กรีซจะเป็นประเทศที่ไม่มีทรัพย์สินของตน คนกรีซจะเป็นเพียงลูกจ้างของเยอรมันและคนรวยไม่กี่คนในประเทศ
- หลังฉากของการเดินเรื่องนี้คือกลุ่มทุน ที่รอจังหวะที่จะเข้ารุมทึ้งทรัพย์สินของกรีซ เหมือนกับรอจังหวะรอรุมทึ้งไทย ในยุคต้มยำกุ้ง ผ่าน ปรส.
- ดูให้ดีๆ เยอรมันวันนี้ เหมือนฮิตเลอร์ในอดีต แตกต่างกันแค่ไม่ได้ใช้อาวุธ แต่ใช้อำนาจทางการเงินเข้ามา
- สงครามโลกครั้งที่ ๑ และ ๒ เกิดขึ้นเพราะเยอรมันต้องการยึดครองเป็นใหญ่ ต่อมาจึงเกิด EU ขึ้นกระจายอำนาจทางการทหาร
- หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ อังกฤษกระทืบเยอรมัน โดยสนธิสัญญาแวร์ซาย ที่กดขี่ทุกอย่าง จึงทำให้เกิดฮิตเลอร์ ...วันนี้สิ่งที่ EU ทำกับกรีซ ก็เหมือนสนธิสัญญาแวร์ซาย นั่นเอง
- ในสงครามครั้งที่ ๒ กรีกเป็นประเทศที่เจ็บปวดที่สุด คนตายเป็นล้านคน ... คราวนี้เหมือนตายทั้งประเทศ
- ปัจจุบัน EU จึงเป็นเครื่องมือแทนอาวุธ ในการยึดครองยุโรป ซึ่งใกล้สำเร็จแล้ว เพราะอิตาลี่และฝรั่งเศสก็เป็นลูกหนี้เยอรมัน
- เยอรมันแพ้สงคราม ๒ ครั้งเพราะรัสเซีย ดังนั้น เมื่อยึดครองยุโรปได้แล้ว เป้าหมายต่อไป น่าจะขยับเข้าไปประเทศที่เคยเป็นบริวารของรัสเซีย โดยจับเมือกับจีนเป็นหุ้นส่วน
- ในยุคสงครามโลกครั้งที่ ๒ เยอรมันจับมือกับญี่ปุ่น แต่ปัจจุับันกำลังจับมือกับจีน
- วันนี้สงครามที่แท้จริงคือ การยึดครองโดยเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องแสนยานุภาพทางอาวุธยังเป็นเพียงการขู่กันไปมา
- การจัดการกับกรีซ เป็นเหมือนการเชือดไก่ให้ลิงดู ... ทุกวันนี้ ประเทศใน EU ต้องดำเนินการตามที่ EU กำหนด ใช้เงินสกุลเดียวกัน ทุกอย่างต้องทำตามเงื่อนไขของ EU... ซึ่งถูกยึดครองด้วยเยอรมัน
- ความจริง EU สามารถลดหนี้ให้กรีซได้ เหมือนกับที่อเมริกาเคยทำ คือพิมพ์แบงค์เพิ่ม แล้วปล่อยเงินให้ไหลเข้าไปในระบบโดยดอกเบี้ยถูกๆ แล้วกระตุ้นการใช้จ่ายของคน แต่ EU กลับจะไปบีบให้เพิ่มภาษี ที่จะทำให้คนไม่ใช้จ่าย ฝืดเคือง และไม่ยอมลดหนี้ให้ ... ตีความได้ว่า เยอรมันกำลังแกล้งกรีซ
- ซีปลาส นายกกรีซ เป็นลูกคนรวย ไปเรียนที่อังกฤษ คิดแบบคนอังกฤษ ตอนหาเสียงบอกว่าเราไม่ยอม ... แต่ตอนนี้บอกว่า ไม่มีทางเลือก ต้องเซ็นยอมให้ EU
- รัฐบาลกรีช กับรัฐบาลไทย เหมือนกันตรงไหน .... ตรงชอบสร้างหนี้โดยไม่คิดถึงลูกหลานในอนาคต...คอรัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง .. ประชาชนทั้งไทยและกรีซก็ต้องรับเคราะห์เหมือนกัน
- ไทยยังโชคดีที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ตั้ง ๒๐๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นผลสำคัญที่หลวงตาพาพวกเราทำมา
ประเทืองปัญญา... แต่ก็ยังมีหลายอันที่ยังไม่เชื่อ ฟังไว้ก่อน....
วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2559
จับประเด็นเล่นๆ ๒
ฟังคลิปคุณสนธิ
- เป็นการพูดที่ยากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
- ที่ผ่านมาไม่เคยไปพูดที่ไหนในเรื่องนี้ แต่มาที่นี่เพราะอยากมาพื้นที่จริงๆ
- สามจังหวัดชายแดนใต้ ครั้งหนึ่ง เคยมีภาษา ศาสนา พื้นที่ เป็นของตนเอง
- ถ้าเราลืมอดีต เราจะสูญเสียปัจจุบัน แต่ถ้าเรายึดติดกับอดีต เราจะสูญเสียอนาคต
- เราต้องไม่ยึดว่านี้คือ รัฐปัตตานี ในอดีต ยึดติดกับอดีต
- เราจะพัฒนาสังคมเศรษฐกิจของสามจังหวัด ได้อย่างยั่งยืน เราต้องยอมรับปัจจุบันเสียก่อน
- รัฐสมัยใหม่ หรือ Modern State คือ การสร้างรัฐโดยการรวมพื้นที่ ไม่มีที่ไหนเลยในโลกนี้ที่มีชาติพันธุ์เดียวกัน ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน
- ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เราปักปันเขตแดน ทำให้เกิดเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย
- รัฐปัตตานี เป็นเหมือนกันชนระหว่าง โลกพุทธกับโลกมุสลิม อีกมุมหนึ่ง เป็นกันชนระหว่างโลกทุนนิยมกับโลกสังคมนิยม
- สงครามเย็นยุคใหม่เริ่มแล้ว ไม่ใช่ระหว่างระหว่าง Communism vs Democracy แต่เป็นระหว่าง Terrorism vs Democracy อเมริการคือผู้อยู่เบื้องหลังของความขัดแย้งต่างๆ ของหลายประเทศ
- บินลาเดน ก็อเมริกาสร้างขึ้น ซัดดัม ก็อเมริการสร้างขึ้น ...
- รัฐปัตตานีนั้นมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานกว่า ๖๐๐ ปี ก่อนจะเสียดินแดนให้กับรัฐสยามในสมัยรัชกาลที่ ๑ และต่อมาถูกแบ่งออกเป็น ๓ จังหวัด โดยรวมอำนาจเข้าสู่อำนาจรัฐส่วนกลาง
- สิ่งที่พี่น้อง ๓ จังหวัดภูมิใจมาก คือ ๑) ภูมิใจที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ๒) ภูมิใจที่เป็นศูนย์กลางของการเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่งในศตวรรษที่ ๑๗ และ ๓) เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาในศตวรรษที่ ๑๙
- ต่อมาเกิดความแตกต่างของโอกาสในการพัฒนาจากรัฐสยาม เมื่อถึงผนวกกับการปฏิบัติของข้าราชการของรัฐสยาม
- มี ๔ แนวทางที่พยายามแก้ไขปัญหาแล้ว ๔ ปัญหา ได้แก่ ๑) นโยบายรัฐนิยม Thai Nationalism ๒) นโยบายผสมกลมกลืน Assimilation ๓) เลือกปฏิบัติ Discrimination และ ๔) นโนบายบูรณาการ Integration
- นโยบายรัฐนิยม หรือ Thai Nationalism สมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม สมัยพลเอกเผ่า ศรียานนท์ มีการสั่งการให้ตำรวจ ไปสังหารผู้นำทางศาสนาในปี ๒๔๙๗ ด้วยการจับถ่วงน้ำ
- สาเหตุที่ตระกูลโต๊ะมีนา
- อังกฤษและไทยได้เซ็นสัญญา อังกฤษ-ไทย ที่นำมาสู่การยกดินแดนของไทยให้อังกฤษ ในสมัยรัชกาลที่ ๕
- นโยบายแบบรัฐนิยมในสมัยจอมพลสฤษดิ์ และจอมพลถนอม กิติขจร ก็สืบต่อนโยบายรัฐนิยม มีการย้ายเอาชาวอีสานบางกลุ่มเข้ามาอาศัยทำมาหากินในพื้นที่ ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นๆ
- นอกจากนี้แล้ว มีโนบายทางการศึกษาที่ พยายามจะบีบให้โรงเรียนปอเนาะ ๑๕๐ โรงเรียน ต้องจดทะเบียนเป็นโรงเรียนเอกชน จนเกิดการต่อต้านของโรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่มาของขบวนการ BRN
- แต่ปัญหาที่สำคัญคือการ ส่งตำรวจที่มีปัญหาที่จากพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศเข้าไปในพื้นที่ เกิดกระบวนการศาลเตี้ยมากมาย
- ปัญหา ๓ จังหวัดคลี่คลายลง และเกือบจะหายไปเมื่อมีนโยบายต่อสู้คอมมิวนิสท์ที่ให้โอกาสกลับใจ นิรโทษกับใครที่วางอาวุธและกลับเข้ามาร่วมพัฒนาประเทศ
- ที่เหตุการณ์ ๓ จังหวัดชายแดนใต้ไม่จบ ไม่ใช่เฉพาะปัจจัยภายใน แต่มีมหาอำนาจชาติตะวันตกเกี่ยวข้อง และจะมีวันจบ เพราะเป็นยุทธวิธีของการ กวนน้ำให้ขุ่น ขุ่นเมื่อใดก็จะเข้ามาจับปลา...
- ตอนท้ายคุณสนธิเสนอแนวทางการพัฒนา ๓ จังหวัดชายแดนใต้อย่างยั่งยืนหลายข้อ (๑๑ ข้อ)
ใช้เวลาจับประเด็นไปเป็นชั่วโมงเลยครับ ...ได้ข้อมูลความรู้เยอะทีเดียว...
ฝึกจับประเด็นเล่นๆ ๑
ผมปล่อยวางเรื่องการเมืองและความขัดแย้งไปนาน ไม่ได้ติดตามต่อเนื่องเหมือนแต่ก่อน แต่หลังจากที่ตัดสินใจไป "ซิทอิน" (หมายถึงเข้าไปนั่งเรียนโดยไม่ได้จ่ายค่าลงทะเบียนเหมือนนิสิต) รายวิชา ๐๐๓๒๐๐๑ มนุษย์กับอารยธรรมและศาสนา ที่มีเนื้อหาครอบคลุมทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และศาสนา ทำให้มีแรงบันดาลใจใคร่อยากรู้ "โลกทั้งใบ" ส่วนหนึ่งก็ได้สรุปเรียนรู้จาก อ.ทนง ขันทองตามบันทึกที่ผ่านมา (อ่านได้ที่นี่)
จากการสืบค้น ผมพบห้องเรียนออนไลน์ของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำทางการเมืองท่านหนึ่งของกลุ่มประชาชนที่เรียกตนเองว่า "พันธมิตร" เป็นห้องเรียนบรรยาย ออนไลน์ทาง Youtube โดยใช้ชื่อรายการว่า "โมงโลก มองเรา" ฟังแล้วประเทืองปัญญายิ่ง แม้จะมีมุมมองและข้อมูลหลายอย่างที่จำต้องรอตรวจสอบสืบค้น แต่การมองภาพรวมอย่างเชื่อมโยง ทำห้เข้าใจที่มาที่ไป และเข้าใจในสิ่งที่ อ.ทนง เป็นห่วงขึ้น
เรื่องที่ผมเองสนใจที่่สุดคือ เรื่องข้อพิพาทเรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ เพราะผมเห็นว่าสิ่งนี้จะส่งผลต่อประชาชนคนไทยอย่างประมาณเป็นมูลค่ามิได้เลย หากประเทศไปผิดทาง ก็เหมือนจะเป็น "จุดที่ไม่หวนกลับ" อีกเลย ....
ผมตั้งใจจะเขียนบันทึกในสมุดเล่มนี้แบบ "จับประเด็น" (ไม่เป็นเรื่อง) คือ แค่เพียง "จับ" สิ่งที่เป็น "ข้อมูล" หรือ "ดาต้า" หรืออย่างมากก็เป็นเพียง "ข้อมูล" หรือ "ความเห็น" และบางส่วนอาจยังเป็น "ข้อกล่าวหา" ด้วยซ้ำ เพื่อให้ผู้อ่านฝึกใช้ "วิจารณญาณ" ของตนเอง พิจารณาเอง เผื่ออาจจะก่อให้เกิดการประเทือง "ปัญญา" ได้ต่อไป วิธีการคือ ขณะที่ผมดูคลิปเป้าหมาย ผมจะ "จับประเด็น" และพิมพ์ในบันทึกไปพร้อมๆ กัน ... จึงต้องขออภัยหากไม่เป็นเรื่อง และท่านอ่านไม่รู้เรื่อง ...
จบเท่านี้ก่อนครับ...
จากการสืบค้น ผมพบห้องเรียนออนไลน์ของ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำทางการเมืองท่านหนึ่งของกลุ่มประชาชนที่เรียกตนเองว่า "พันธมิตร" เป็นห้องเรียนบรรยาย ออนไลน์ทาง Youtube โดยใช้ชื่อรายการว่า "โมงโลก มองเรา" ฟังแล้วประเทืองปัญญายิ่ง แม้จะมีมุมมองและข้อมูลหลายอย่างที่จำต้องรอตรวจสอบสืบค้น แต่การมองภาพรวมอย่างเชื่อมโยง ทำห้เข้าใจที่มาที่ไป และเข้าใจในสิ่งที่ อ.ทนง เป็นห่วงขึ้น
เรื่องที่ผมเองสนใจที่่สุดคือ เรื่องข้อพิพาทเรื่องการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ เพราะผมเห็นว่าสิ่งนี้จะส่งผลต่อประชาชนคนไทยอย่างประมาณเป็นมูลค่ามิได้เลย หากประเทศไปผิดทาง ก็เหมือนจะเป็น "จุดที่ไม่หวนกลับ" อีกเลย ....
ผมตั้งใจจะเขียนบันทึกในสมุดเล่มนี้แบบ "จับประเด็น" (ไม่เป็นเรื่อง) คือ แค่เพียง "จับ" สิ่งที่เป็น "ข้อมูล" หรือ "ดาต้า" หรืออย่างมากก็เป็นเพียง "ข้อมูล" หรือ "ความเห็น" และบางส่วนอาจยังเป็น "ข้อกล่าวหา" ด้วยซ้ำ เพื่อให้ผู้อ่านฝึกใช้ "วิจารณญาณ" ของตนเอง พิจารณาเอง เผื่ออาจจะก่อให้เกิดการประเทือง "ปัญญา" ได้ต่อไป วิธีการคือ ขณะที่ผมดูคลิปเป้าหมาย ผมจะ "จับประเด็น" และพิมพ์ในบันทึกไปพร้อมๆ กัน ... จึงต้องขออภัยหากไม่เป็นเรื่อง และท่านอ่านไม่รู้เรื่อง ...
- รัชกาลที่ ๔ ท่านทรงเห็นว่า พระที่มีอยู่ไม่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ... จึงเกิดสายธรรมยุตขึ้นมา
- มหาเถระสมาคมถ้าเปรียบเป็นรัฐบาล พระสมเด็จต่างๆ ก็เปรียบเหมือนรัฐมนตรี แล้วถ้ามีผลประโยชน์ ก็คือการเมืองนั่นเอง
- มหาเถระสมาคม ก็คือ สมาคมของนักการเมืองที่ใส่จีวร
- พรบ. สงฆ์ เริ่มตอน ๒๔๘๔ ตอนสมัยจอมพล ป.พิบูลย์ สงคราม
- แต่ก่อนเราคือสยาม ชาติสยาม แต่จอมพล ป. มาสร้างชาตินิยม สร้างคำว่า "ไทย" ขึ้นมา
- วัดบ้านเรามีสองสาย สายแรกคือมหานิกาย ศูนย์กลางคือวัดมหาธาตุ อีกสายคือธรรมยุต ศูนย์กลางอยู่ที่วัดบวร
- ในหลวงทรงผนวชที่วัดบวร
- สายธรรมยุตเกิดที่วัดบวร รัชกาลที่ ๔ จึงมักถูกเรียกว่า สายเจ้า เหมือนๆ กับ ธรรมยุตคือจุฬา มหานิกายคือธรรมศาสตร์
- มีเหตุการณ์ที่พระเล่นการเมือง จนเกิดเรื่องราวใหญ่โต
- พระพิมลธรรมและพระศาสนโสภณ เป็นพระมาจากคนสาย ถูกกล่าวหา จากเจ้าอาวาสวัดมกุฎฯ ว่าเสพเมถุน ทั้งคู่ โดยตั้งฎีกาว่าทำผิด ...แต่ลูกศิษย์ช่วยกันต่อสู้เพราะท่านเป็นพระดีทั้งคู่... มีการร้องเรียนมากมายเพื่อช่วยเหลือท่าน...ฝ่ายการเมืองไม่สามารถที่จะทำลายท่านทั้งสองได้ เลยกล่าวพระพิมลธรรมว่าเป็นคอมมิวนิสท์ และไปจับท่านเข้าคุกในสมัยจอมพลสฤษดิ์ และพยายามจะบีบให้พระศาสนโสภณท่านสึก เพื่อดำเนินคณดีในศาล ท่านไม่ยอมสึก แม้จะโดนพิพากษาให้จำคุก ๕ ปี ... พระศาสนโสภณบอกว่า คุกคือศาลาปฏิบัติธรรมท่าน ... สุดท้ายยกฟ้องหมดทั้งสององค์... และมีการคืนสมณศักดิ์ให้ทั้งสององค์
- ที่พระเถระผู้ใหญ่ทั้งสองถูกกล่าวหา อาจเพราะตำแหน่งของท่านไปขัดขวางการเจริญเติบของใครบางคน
- จอมพลสฤษดิ์ ตอนที่สบายอยู่บนเตียง บอกว่า .... ไม่นึกเลยว่า พระเถระชั้นผู้ใหญ่จะใช้เล่ห์อุบายสักเพียงนี้ เดี๋ยวให้หายก่อนเถอะ ....
- ต่อมาพระพิมลธรรม ก็ได้ขึ้นเป็นรักษาการแทนสมเด็จพระสังฆราช จนกระทั่งท่านมรณภาพในเวลาต่อมา
- ส่วนเจ้าอาวาสวัดมกุฎฯ ต่อมาได้เป็นสมเด็จพระสังฆราช ... แต่ขณะที่ท่านนั่งอยู่ในรถขบวน เกิดอุบัติเหตุจนมรณภาพ .... คนที่ทำกรรมหนักใส่ร้ายและกล่าวหาท่านทั้งสอง ได้เป็นถึงสังฆราชแต่โดนรถชนคอหักกลางสะพาน อีกองค์สึกออกไปแล้วกลายเป็นบ้า ฆราวาสอีกคนที่ตอนหลังไปสารภาพกับศาลว่าไปใส่ร้ายท่าน ถกแทงตายไม่นานภายหลัง
- พระสังฆราช ทรงมีพระลิขิต ปี ๒๕๔๒ ให้พระรูปหนึ่งเป็นปราชิก
- พระรูปหนึ่งกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ ๕๒ คดี ... ถ้าได้มาเป็นพวก คงจะมีฐานเสียงเยอะ .. ต่อมามีการถอนฟ้องทั้งหมด ทั้งๆ ที่ เหลือพยานอีกไม่กี่ปากก็จะตัดสินแล้ว...
- แต่ก่อนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจ แต่มีการแก้ไขให้เป็นกระบวนการของมหาเถระสมาคม แล้วส่งไปยังสำนักนายกฯ โดยรัฐบาลสมัยนายกอนันต์ และต่อมามีการปรับให้มีตำแหน่ง "รักษาการแทน" ในสมัยของนายกทักษิณ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน"
- พระมหาเถรสมาคม ประกอบด้วย พระมหานิกาย ๑๐ องค์ พระธรรมยุต ๑๐ องค์
- สมเด็จช่วงเป็นพระอุปัฎชาของพระธัมมชโย
- มหาเถระสมาคม มีอำนาจในการแต่งตั้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด ทั่วประเทศ
- หลวงปู่ชา สุภัทรโท เป็นพระมหานิกาย ... พระมหานิกายดีๆ ก็มีเยอะ
- นายอานันท์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์ และบุญชัย เบญจรงค์กุล เจ้าของดีแทค เป็นลูกศิษย์ของวัดธรรมกาย
- พระพรมเมธี เป็นโฆษกของพระเถระมหาสมาคม
- คุณสนธิหมดตัวตอนปี ๔๐ เหลือทองแท่งอยู่ ๒๐ แท่ง ปรึกษากับภรรยาว่าจะเอาไปขายหรือเอาไปถวายหลวงตาดี ... สุดท้ายเอาไปถวายหลวงตา
- คุณสนธิเคยโดยยิงในระยะเกือบเผาขน (ชายสี่คนยิ่งด้วยอาวุธหนักในระยะ ๒-๓ เมตร) หลวงตาบอกว่า ... ที่รอดมาเพราะเป็นคนมีบุญ ต้องทำงานให้ชาติบ้านเมือง ...
จบเท่านี้ก่อนครับ...
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


